top of page
GDN 980 x 120 psychiatrist.jpg

สิ่งจำเป็นที่ผู้ใหญ่ควรรู้เพื่อป้องกันไม่ให้วัยรุ่นฆ่าตัวตาย



หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ติดตามข่าวสารในสื่อต่าง ๆ ข่าวหนึ่งที่มักจะเห็นอยู่เรื่อย ๆ ก็คือข่าวการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นที่เกิดขึ้นจากสาเหตุที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการถูกเพื่อนกลั่นแกล้งจนทนไม่ไหว ความทุกข์จากบาดแผลทางใจที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ผ่านมา หรือแม้แต่สาเหตุที่ไม่แน่ชัดทำให้ผู้คนสันนิษฐานกันไปต่าง ๆ นานา แต่ไม่ว่ามันจะมาจากสาเหตุอะไร ก็ล้วนแต่นำมาซึ่งความเจ็บปวดของคนใกล้ชิดของวัยรุ่นที่ฆ่าตัวตายและความสลดใจของผู้คนในสังคม โดยในทางสถิติพบว่า อัตราการฆ่าตัวตายของเด็กและวัยรุ่นมีสูงขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเด็กและวัยรุ่นที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจและขาดทักษะในการรับมือกับความเครียด เช่น การถูกปฏิเสธ การเลิกกับแฟน ความรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว มีปัญหากับคนในครอบครัวหรือครอบครัวทะเลาะเบาะแว้ง ซึ่งเด็กและวัยรุ่นบางคนไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครจนทำให้เกิดความเชื่อขึ้นมาว่าการตายคือทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้น

ลักษณะของวัยรุ่นที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย


1. เคยพยายามฆ่าตัวตายมาก่อน เคยพูดเปรย ๆ ว่าอยากตายหรือบอกว่าจะฆ่าตัวตาย


2. บ่นว่าเบื่อหน่าย ท้อใจ เศร้า มีท่าทางโศกเศร้า หงอยเหงา มีพฤตกรรมแยกตัวเองออกจากสังคม


3. มีพฤติกรรมรุนแรงหรือใช้สารเสพติด


4. มีอาการของโรคทางจิตเวช

ควรทำอย่างไรเมื่อวัยรุ่นในครอบครัวพยายามฆ่าตัวตายหรือมีความคิดฆ่าตัวตาย?

1. หากวัยรุ่นตกอยู่ในสภาวะฉุกเฉินให้รีบเรียกรถพยาบาลโดยด่วน

2. หากวัยรุ่นยังมีสติ อย่าเพิ่งด่วนตำหนิ ให้พยายามรับฟังว่าเขารู้สึกอย่างไร ต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้าง

3. ควรพาวัยรุ่นเข้าพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อรับความช่วยเหลือในด้านอารมณ์และสภาพจิตใจ

ผู้ใหญ่สามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อป้องกันไม่ให้วัยรุ่นฆ่าตัวตาย?

หากคุณมีลูกหลานอยู่ในช่วงวัยรุ่น คุณสามารถค่อย ๆ ทำตามไปทีละ step ดังนี้


1. หมั่นสังเกตท่าทางพฤติกรรมของลูกหลาน อย่ารอให้เขาเป็นฝ่ายเข้ามาหา แต่หากสังเกตพบว่าลูกหลานเริ่มมีท่าทางเศร้า วิตกกังวล หดหู่ หรือกำลังประสบกับปัญหาที่เขาหาทางออกเองไม่ได้ ให้เข้าไปชวนคุยว่าเกิดอะไรขึ้น และลองถามว่าเขาต้องการให้คุณช่วยเหลืออะไรหรือไม่

2. ใส่ใจคำพูดและสิ่งที่อาจจะเป็นสัญญาณเตือนการมีความคิดฆ่าตัวตาย โดยอาจจะมาในรูปแบบของการพูดลอย ๆ ว่าอยากตาย หรือพูดประโยคที่แสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวัง เช่น “ไม่มีทางแล้ว” “มันจบแล้ว” หากผู้ใหญ่ในบ้านเริ่มสังเกตเห็นสัญญาณเตือนดังกล่าวควรเปิดโอกาสให้เขาได้พูดออกมาและรับฟังให้มาก ๆ โดยไม่ตัดสินว่าการแสดงออกของเขาเป็นเพียงการเรียกร้องความสนใจของวัยรุ่นทั่ว ๆ ไป

3. พยายามสนับสนุนให้วัยรุ่นได้อยู่กับกลุ่มเพื่อนหรือออกมาเจอสังคมบ้าง ไม่ปล่อยให้เขาแยกตัวอยู่ตลอดเวลา

4. คอยสังเกตและดูแลพฤติกรรมการใช้ Social Media ของวัยรุ่น เช่น ดูลักษณะของข้อความที่เขาโพสต์ เปิดอ่านคอมเม้นท์ว่ามีคอมเม้นท์เชิงลบที่อาจทำให้เขารู้สึกแย่หรือไม่ รวมไปถึงความสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ ว่ามีการถูกกลั่นแกล้งหรือไม่ รวมถึงคอยสนับสนุนให้เขากล้าไปรับบริการแนะแนวให้คำปรึกษาในโรงเรียน กล้าขอความช่วยเหลือจากครูหากมีปัญหาเกิดขึ้นที่โรงเรียน เพราะการที่วัยรุ่นมีสัมพันธภาพกับครูหรือเพื่อนในโรงเรียนจะช่วยเป็นภูมิคุ้มกันไม่ให้เกิดความคิดฆ่าตัวตายเวลาที่มีปัญหาเกิดขึ้นโดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงเรียน

5. คอยดูแลให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมสุขภาพ เช่น กินอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ขยับเคลื่อนไหวร่างกายหรือออกกำลังกายบ้างตามความเหมาะสม

6. กรณีที่วัยรุ่นรับการรักษาจากจิตแพทย์อยู่ ควรส่งเสริมให้เขาไปพบจิตแพทย์ตามนัด รับประทานยาและปฏิบัติตัวตามที่จิตแพทย์แนะนำ รวมไปถึงการชวนให้วัยรุ่นได้เข้าร่วมกิจกรรมที่ช่วยเสริมความรู้สึกดีกับตัวเอง เช่น การทำงานจิตอาสา กิจกรรมกลุ่มบำบัด (Group Counseling or Group Therapy)

7. คอยสังเกตในเรื่องการรับประทานยาจิตเวชว่ามีผลข้างเคียงหรือไม่ เนื่องจากวัยรุ่นบางคนจะมีความคิดฆ่าตัวตายเพิ่มมากขึ้นหลังจากได้รับยาต้านเศร้าบางตัวโดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกของการเริ่มรับประทานยา อย่างไรก็ตาม ยาต้านเศร้าจะออกฤทธิ์ต่ออารมณ์ให้เป็นไปในทางบวกซึ่งจะลดโอกาสเสี่ยงของการฆ่าตัวตัวตายได้ หากรับประทานยาตามที่จิตแพทย์แนะนำไปแล้วในระยะหนึ่ง ทั้งนี้ หากวัยรุ่นมีความคิดฆ่าตัวตายเกิดขึ้นจนดูน่าเป็นห่วงก็สามารถติดต่อกับสถานพยาบาลเพื่อขอคำแนะนำจากจิตแพทย์ได้

8. พยายามเก็บสิ่งที่สามารถนำมาใช้ในการทำร้ายตนเองไว้ห่างจากวัยรุ่น เช่น อาวุธ ของมีคม ยา รวมไปถึงพยายามดูแลในเรื่องของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของวัยรุ่น เพราะหากดื่มจนขาดสติอาจนำไปสู่การควบคุมตนเองไม่ได้

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ หากคุณสังเกตให้ดีก็จะพบว่า แม้การฆ่าตัวตายในวัยรุ่นจะมีสถิติเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน แต่หากครอบครัวหรือผู้ใหญ่ให้ความใส่ใจ ดูแลอย่างใกล้ชิด และเปิดพื้นที่ทางอารมณ์ให้วัยรุ่นได้ระบายโดยมีผู้ใหญ่คอยรับฟังพร้อมเสนอการให้ความช่วยเหลือหากเขาต้องการ ก็จะสามารถช่วยกันป้องกันไม่ให้วัยรุ่นฆ่าตัวตายได้


สำหรับใครที่กำลังเครียด กังวล คิดมาก ทั้งเรื่องของปัญหา Burn Out จากการทำงาน ปัญหาความสัมพันธ์ต่างๆ ในครอบครัว คนรัก ไปจนถึงภาวะต่างๆ เช่น ซึมเศร้า ทุกปํญหาสำคัญและเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเราเสมอ


iSTRONG ยินดีให้บริการ ปรึกษาด้านสุขภาพจิตโดยผู้เชี่ยวชาญ ทั้งจากจิตแพทย์และนักจิตวิทยา ดูรายละเอียดได้ที่นี่


 

iSTRONG Mental Health

ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร


บริการของเรา

สำหรับบุคคลทั่วไป

• บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa

• คอร์สฝึกอบรม การเป็นนักจิตวิทยาให้คำปรึกษา : http://bit.ly/3RQfQwS


สำหรับองค์กร

• EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8


โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong

 

อ้างอิง

[1] จิตเวชศาสตร์รามาธิบดี

[2] Teen suicide: What parents need to know. Retrieved from. https://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/tween-and-teen-health/in-depth/teen-suicide/art-20044308


บทความที่เกี่ยวข้อง

[1] นักจิตวิทยาเผย 4 สัญญาณเตือน! เสี่ยงฆ่าตัวตาย ในโลกโซเชียล. https://www.istrong.co/single-post/warning-signs-suicide-risk-in-the-social

[2] รู้ทันสัญญาณฆ่าตัวตายก่อนจะสายเกินไป. https://www.istrong.co/single-post/know-about-suicide

 

ประวัติผู้เขียน

นางสาวนิลุบล สุขวณิช (เฟิร์น) การศึกษา: ปริญญาโทสาขาจิตวิทยาการปรึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ปริญญาตรีสาขาจิตวิทยา (คลินิก) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

การทำงาน: พ.ศ. 2555 - ปัจจุบัน นักจิตวิทยาการปรึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

และเป็นนักเขียนของ istrong


facebook album post - square (1).png
1.พวกหลีกเลี่ยงความผูกพัน (2).png
บทความล่าสุด
bottom of page