แก้ปัญหาลูกน้องหมดไฟด้วยการให้คำปรึกษา เครื่องมือสำคัญของหัวหน้างานก่อนสายเกินไป
- iStrong team
- Jun 13
- 2 min read
Updated: Jun 15

คุณเคยสังเกตเห็นพนักงานในทีมของคุณกำลังหมดไฟบ้างไหม
ทีมงานไม่กระตือรือร้นเหมือนแต่ก่อน จากเดิมที่เคยทุ่มเททำงานหนัก แต่แล้วประสิทธิภาพก็ลดลง บางคนเริ่มเงียบหาย ไม่มีส่วนร่วม บางคนเริ่มคิดลบกับงานและองค์กรโดยไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณของภาวะหมดไฟ “Burnout” ซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ในองค์กรจำนวนมากโดยเฉพาะในยุคที่เปลี่ยนแปลงเร็ว และเต็มไปด้วยความคาดหวัง ที่ก่อต้นทุนแฝงให้กับองค์กรอย่างมหาศาล
หน้าที่ของหัวหน้างานไม่ใช่แค่คนควบคุมงาน คอยทำทุกอย่างให้บรรลุ KPIs เพียงอย่างเดียว แต่เป็นผู้นำในยุคใหม่นี้จำเป็นต้องเข้าใจความเป็นมนุษย์ และสามารถสนับสนุนทางอารมณ์กับพนักงานได้ การมี “ทักษะการให้คำปรึกษา” (Counseling Skills) จะช่วยให้หัวหน้าสามารถดูแลและฟื้นฟูพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหัวหน้างานเป็นคนที่ใกล้ชิดและสังเกตเห็นสัญญาณจากพนักงานได้เร็วที่สุด
บทความนี้ผู้เขียนจะชวนคุณมาทำความเข้าใจและเห็นภาพว่า การใช้กระบวนการให้คำปรึกษา 6 ขั้นตอน สามารถช่วยแก้ปัญหาพนักงานหมดไฟได้อย่างไร และทำไมหัวหน้างานทุกระดับควรได้รับการพัฒนาทักษะนี้
หลักจิตวิทยาของการให้คำปรึกษาในที่ทำงาน
การให้คำปรึกษา (Counseling) มีรากฐานจากจิตวิทยาเชิงบำบัด โดยเน้นไปที่การฟังเพื่อเข้าใจ การสร้างพื้นที่ปลอดภัย และการช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาเข้าใจตนเองได้ดียิ่งขึ้น ในบริบทองค์กร การให้คำปรึกษาไม่จำเป็นต้องลึกซึ้งระดับนักจิตบำบัด แต่หัวหน้าควรมีทักษะพื้นฐานที่จะช่วยให้พนักงานรู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวกับปัญหา
การให้คำปรึกษาในที่ทำงานจึงเน้นที่
การสร้างความไว้วางใจ
การเข้าใจแบบ Empathy โดยไม่ตัดสิน
การกระตุ้นให้พนักงานค้นพบทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
กระบวนการ 6 ขั้นตอนของการให้คำปรึกษา
เครื่องมือดูแลใจพนักงานที่หมดไฟอย่างเป็นระบบ
1. BUILD RAPPORT – สร้างความสัมพันธ์ด้วยความไว้วางใจ
หัวใจสำคัญของการให้คำปรึกษาคือความสัมพันธ์ หัวหน้าที่สามารถสร้างบรรยากาศที่พนักงานรู้สึกปลอดภัยพอจะพูดความจริงในใจ คือหัวหน้าที่มีพลังในการเปลี่ยนแปลง
แนวทางปฏิบัติ
เริ่มจากการพูดคุยที่ไม่เกี่ยวกับงานก่อน เช่น ความเป็นอยู่ ชีวิตส่วนตัว (เท่าที่เขายินดีเล่า)
เปิดพื้นที่ที่ไม่มีการประเมิน เช่น One-on-One รายเดือนที่ไม่ได้เน้น KPI
ใช้น้ำเสียง น้ำตา และภาษากายที่แสดงถึงความจริงใจ
2. EMPATHIZE – เข้าใจพนักงานอย่างลึกซึ้งโดยไม่ตัดสิน
ความเข้าใจไม่ใช่การเห็นด้วยเสมอไป แต่คือการพยายามมองโลกจากมุมของเขา
แนวทางปฏิบัติ
ใช้คำถามปลายเปิด เช่น “ช่วงนี้คุณรู้สึกอย่างไรกับงาน”
ฟังด้วยใจ ไม่ขัด ไม่เร่งเสนอทางแก้
สะท้อนสิ่งที่ได้ยิน เช่น “ผมเข้าใจว่าคุณรู้สึกว่า มันหนักเกินไปใช่ไหม”
3. EXPLORE – สำรวจและระบุปัญหาที่แท้จริง
บางครั้งพนักงานหมดไฟไม่ใช่เพราะงานหนัก แต่เพราะรู้สึกว่าไม่มีคุณค่า หรือไม่ได้รับการยอมรับ หัวหน้าควรช่วยพนักงานเจาะลึกปัญหาอย่างเป็นระบบ
แนวทางปฏิบัติ
ใช้เทคนิค 5 Why เพื่อเจาะลึกถึงต้นตอของปัญหา
ตั้งคำถามเพื่อสำรวจไอเดีย เช่น “ถ้ามีไม้กายสิทธิ์ คุณอยากเปลี่ยนอะไรในงานของคุณ”
ช่วยให้พนักงานเรียบเรียงความคิดผ่านการพูดออกมา
4. DEFINE – ทำความเข้าใจประเด็นและค้นหาสาเหตุร่วมกัน
เมื่อปัญหาเริ่มชัดเจนขึ้น หัวหน้าควรร่วมกับพนักงานสรุปให้ชัดเจนว่าปัญหาคืออะไร เกิดจากอะไร และส่งผลต่ออะไร
แนวทางปฏิบัติ
สรุปสิ่งที่เข้าใจจากการพูดคุย เช่น “ถ้าให้ผมสรุป คือคุณรู้สึกว่า...เพราะ... ถูกต้องไหม”
แยกแยะระหว่างสิ่งที่ควบคุมได้/ควบคุมไม่ได้
ระบุสิ่งที่ “ต้องเปลี่ยน” และสิ่งที่ “ควรยอมรับ”
5. FIND WAY OUT – ร่วมกันวางแผนเพื่อฟื้นฟู
เมื่อเข้าใจรากของปัญหาแล้ว จึงค่อยหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน โดยเน้นทางเลือกมากกว่าคำสั่ง
แนวทางปฏิบัติ
Brainstorm ทางเลือกหลายทาง แล้วให้พนักงานเลือกวิธีที่เหมาะกับเขา
วางแผนเล็ก ๆ ที่สามารถทำได้ในทันที เช่น การลดภาระบางอย่าง หรือจัดเวลาหยุดพัก
สร้างเป้าหมายเล็ก ๆ เพื่อฟื้นฟู เช่น โฟกัสงานที่ตัวเองถนัด หรือมีงานอดิเรก
6. REFLECT – ทบทวนผล ปรับแผน และติดตาม
การให้คำปรึกษาไม่ได้จบแค่ครั้งเดียว แต่ต้องมีการติดตามผลและปรับเปลี่ยนวิธีการให้เหมาะอย่างต่อเนื่อง
แนวทางปฏิบัติ
นัดพูดคุยติดตามผล เช่น 2 สัปดาห์หลังการสนทนา
ถามถึงสิ่งที่ดีขึ้น สิ่งที่ยังเป็นอุปสรรค
ถ้าจำเป็นหรือหัวหน้าเห็นว่าเอาไม่อยู่ ลองแนะนำให้เข้าพบนักจิตวิทยาหรือ HR เพิ่มเติม
ทำไม HR และองค์กรควรผลักดันให้หัวหน้าทุกระดับมีทักษะนี้
1. ลดต้นทุนการลาออก
พนักงานที่หมดไฟไม่ได้ต้องการเปลี่ยนงานเสมอไป พวกเขาอาจแค่ต้องการคนเข้าใจและช่วยสนับสนุน ซึ่งถ้าหัวหน้ามีทักษะนี้ก็สามารถป้องกันปัญหาลุกลามและรักษาคนเก่งไว้ได้
2. ส่งเสริมวัฒนธรรมการดูแลกัน
หัวหน้าที่เป็นที่พึ่งทางใจของทีม จะสร้างบรรยากาศการทำงานที่ทุกคนรู้สึกปลอดภัยและกล้าแสดงความสามารถ
3. ลดภาระ HR นักจิตวิทยา และจิตแพทย์
เมื่อหัวหน้าแก้ปัญหาเบื้องต้นได้ดี HR ก็จะสามารถโฟกัสกับกรณีที่ซับซ้อนมากขึ้น และลดความล่าช้าในการดูแลพนักงาน
4. สร้างความยั่งยืนให้กับองค์กร
องค์กรที่มีหัวหน้ามี “Empathic Leadership” จะมีความผูกพันของพนักงานสูง ลดความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ และเพิ่มประสิทธิภาพระยะยาว
กล่าวโดยสรุปคือการให้คำปรึกษาในระดับหัวหน้างานไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ต้องเรียนจิตวิทยาเชิงลึก แต่ต้องมีใจที่อยากฟัง เข้าใจ และปรารถนาจะช่วยพนักงาน
กระบวนการ 6 ขั้นตอนที่กล่าวมา ช่วยให้หัวหน้าไม่ต้องเดาทาง แต่มี Guideline ที่ชัดเจนและนำไปใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นพนักงานใหม่ที่กำลังสับสน หรือพนักงานเก่าที่หมดไฟ ทักษะนี้จะช่วยให้คุณเป็นหัวหน้าที่ดูแลได้ทั้ง “งาน” และ “คน”
เพราะในที่สุดแล้ว องค์กรที่ยั่งยืน ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลข แต่คือการที่คนในองค์กรมีพลังใจในการเดินต่อไป
การให้คำปรึกษากับการโค้ชต่างกันอย่างไร
ในโลกของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การใช้ทักษะการโค้ช (Coaching Skills) กลายเป็นเรื่องปกติในองค์กรยุคใหม่ เพราะมุ่งเน้นที่การผลักดันศักยภาพของพนักงานให้บรรลุเป้าหมายและเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งทักษะที่มักถูกมองข้ามแต่นับว่าจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่พนักงานจำนวนมากเผชิญกับความเครียดและภาวะหมดไฟ (Burnout) นั่นคือ “ทักษะการให้คำปรึกษา (Counseling)”
ทั้งการโค้ชและการให้คำปรึกษาต่างก็มีจุดแข็งของตัวเอง และหัวหน้างานที่ดีควรรู้ว่าเมื่อใดควรใช้เครื่องมือใด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพนักงานและทีมงาน
เป้าหมายหลักของทั้งสองทักษะ
การโค้ชมุ่งเน้นที่การพัฒนาศักยภาพ การวางเป้าหมาย และการสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ส่วนการให้คำปรึกษาเน้นไปที่การเยียวยาปัญหาภายในจิตใจ เช่น ความเครียด ความเหนื่อยใจ ภาวะหมดไฟ หรือความสับสนในชีวิตการทำงาน จุดเริ่มต้นของการโค้ชจึงมักเริ่มจากคำถามว่า “คุณอยากไปถึงเป้าหมายอะไร” ในขณะที่การให้คำปรึกษาจะเริ่มจากคำถามว่า “ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไร”
บทบาทของหัวหน้า
การโค้ชคือการตั้งคำถามที่ทรงพลังเพื่อกระตุ้นการคิด พัฒนาแผนการทำงาน และผลักดันให้พนักงานรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ส่วนในบทบาทของการเป็นที่ปรึกษา หัวหน้าควรรับฟังอย่างลึกซึ้ง สะท้อนความรู้สึก และเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่พนักงานสามารถพูดความในใจออกมาได้อย่างไม่ถูกตัดสิน
ลักษณะของบทสนทนา
การโค้ชจะพูดถึงเป้าหมายในงาน ผลลัพธ์ที่ต้องการ และทักษะที่ต้องพัฒนา ในขณะที่การให้คำปรึกษามักเกี่ยวข้องกับความรู้สึก ความกดดัน ความขัดแย้งภายใน หรือความไม่แน่ใจในทิศทางชีวิต
ระดับความลึกของปัญหา
การโค้ชจะโฟกัสที่พฤติกรรม การตัดสินใจ และการลงมือทำ ส่วนการให้คำปรึกษาจะลึกไปถึงระดับอารมณ์ ภูมิหลังความคิด และความรู้สึกภายในที่อาจยับยั้งศักยภาพของพนักงานอยู่เงียบ ๆ
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการโค้ช คือการพัฒนา การเติบโต และการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก ขณะที่การให้คำปรึกษามุ่งเน้นที่การฟื้นฟู เยียวยา และการทำให้พนักงานกลับมามีพลังใจพร้อมจะทำงานต่อ
ทักษะและการฝึกฝน
การโค้ชต้องการความรู้เฉพาะทางด้านการตั้งคำถาม การวางกรอบ และการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ส่วนการให้คำปรึกษาอาจต้องใช้ทักษะทางจิตวิทยาเล็กน้อย โดยเฉพาะด้านการฟัง การสะท้อนความรู้สึก และการสร้างความไว้วางใจอย่างลึกซึ้ง
องค์กรและผู้นำควรเลือกใช้แนวทางไหนดี
คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับจุดที่พนักงานอยู่ในขณะนั้นและวัตถุประสงค์
หากพนักงานมีเป้าหมายที่ชัดเจน มีพลังใจ และพร้อมที่จะพัฒนา → ใช้การโค้ชเพื่อผลักดันศักยภาพให้ถึงที่สุดแต่หากพนักงานกำลังเผชิญกับความเครียด ภาวะหมดไฟ อารมณ์ด้านลบ ความกดดัน ความสับสน หรือปัญหาส่วนตัวที่ส่งผลต่อการทำงาน → ใช้การให้คำปรึกษา เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูจิตใจให้พร้อมกลับมาอีกครั้ง
องค์กรที่ต้องการความยั่งยืน ไม่ควรมองพนักงานเพียงแค่ทรัพยากร แต่ควรมองเขาเป็นมนุษย์ที่มีทั้งเป้าหมายและความรู้สึก หัวหน้าที่สามารถสลับบทบาทระหว่าง หัวหน้างาน โค้ช และนักให้คำปรึกษาได้อย่างเหมาะสมในสถานการณ์ต่าง ๆ จะเป็นผู้สร้างความแตกต่างอย่างแท้จริง
และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการพัฒนาทักษะทั้งสองด้านจึงไม่ควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ควรเดินคู่กันไปในทุกระดับของผู้นำองค์กร
คุณสามารถศึกษาและเรียนรู้ทักษะการให้คำปรึกษาที่ลึกซึ้งขึ้นอย่างมืออาชีพ เรียนรู้จากเคสในที่ทำงาน พร้อมโอกาสได้ลองฝึกปฏิบัติจริง จากหลักสูตรนักให้คำปรึกษาระดับพื้นฐาน (Fundamental Counseling Certificate Program) จาก iSTRONG ที่จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาวะผู้นำของคุณ หรือให้กับบรรดาผู้นำในองค์กร เพื่อเป็นปัจจัยสำคัญในการ Engage พนักงานที่ทุ่มเทและความสามารถให้อยู่ร่วมสร้างความสำเร็จไปพร้อมกับองค์กรไปนาน ๆ
อย่ารอให้รู้ตัวอีกทีคือวันที่ลูกน้องคนเก่งมาขอลาออกและแก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว หัวหน้างานสามารถดูแลและสนับสนุนกันไประหว่างทาง รู้เท่าทันและแก้ไขปัญหากันในตอนที่ยังแก้ทัน แล้วทั้งทีมและองค์กรเองจะสามารถประหยัดต้นทุนทางการเงินและต้นทุนเวลาได้อย่างมหาศาล
iSTRONG Mental Health
ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร
บริการของเรา
สำหรับบุคคลทั่วไป
บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa
คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS
สำหรับองค์กร
EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8
โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong