

ฉันทำงานไปเพื่ออะไร? เข้าใจจิตวิทยายุคใหม่ ที่จะช่วยให้ชีวิตมีความหมาย
หลายคนตื่นเช้าไปทำงาน ฝ่ารถติด เข้าประชุม วนอยู่กับ Deadline แล้วกลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้า แต่ลึก ๆ ในใจกำลังถามว่า “ฉันทำงานทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร?”
ใช่ค่ะ เงินเดือนคือสิ่งที่เราต้องการ แต่ถ้าทุกวันมีเพียงแค่นั้น ความรู้สึกว่างเปล่าก็จะค่อย ๆ กัดกินหัวใจ คนทำงานจำนวนไม่น้อย ไม่ได้หมดแรงเพราะ “งานเยอะ” แต่หมดไฟเพราะ “ไม่เห็นความหมาย” ของสิ่งที่ทำ เมื่อความหมายหายไป แรงบันดาลใจก็หายไปด้วย ทำให้ชีวิตการทำงานกลายเป็นเพียงการ “อยู่รอด” ไม่ใช่การ “เติบโต” ค่ะ


พนักงานลาออกเพราะ "คน" ไม่ใช่แค่ "งาน" HR ต้องเข้าใจจิตวิทยาถึงจะรักษาคนอยู่
คนลาออกเพราะความสัมพันธ์ ไม่ใช่เพราะงาน เคยสังเกตไหมคะว่าพนักงานส่วนใหญ่ไม่ได้ลาออกเพราะ “งานมันยากเกินไป” แต่ลาออกเพราะ “ทำงานกับคนที่ไม่โอเค” บางคนเก่งมาก แต่ทนหัวหน้าที่สื่อสารไม่ดีไม่ได้ บางคนมีศักยภาพสูง แต่หมดไฟเพราะทีมไม่ฟังกัน สุดท้าย HR ต้องเจอกับตัวเลข Turnover ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่องค์กรพยายามปรับสวัสดิการ ปรับเงินเดือนแล้ว ทำทุกวิธีก็แล้ว แต่กลับไม่ได้ผล


เป็นหัวหน้าที่ลูกน้องไม่เปิดใจ? 6 เทคนิคจิตวิทยา สู่การเป็นผู้นำที่คนไว้ใจ
ประชุมทีไรเงียบ ลูกน้องไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ความเงียบเหล่านี้ ไม่ได้แปลว่าทีม “โอเค” แต่แปลว่าพวกเขา “ไม่กล้า” และ “ไม่ไว้ใจ” มากพอที่จะพูดกับหัวหน้า และนี่คือสัญญาณอันตรายสำหรับผู้นำ เพราะมันหมายความว่า คุณกำลัง “ขาดข้อมูลจริง” ที่จะทำให้องค์กรเติบโต


ออฟฟิศเต็มไปด้วยดราม่า? เข้าใจ 6 เทคนิคจิตวิทยาที่จะช่วยให้คุณรอด
เมื่อดราม่าในออฟฟิศทำให้คุณหมดแรง หลายคนอาจคิดว่า “ทำงานเก่งก็พอแล้ว” แต่ความจริงไม่ใช่เลย เพราะสิ่งที่ทำให้พนักงานรู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่างาน ก็คือ “คน” และ “ดราม่า” ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


จัดการเกมดราม่าพนักงาน ด้วยจิตวิทยาปิดเกมพิษสำหรับ HR
ในฐานะ HR หรือฝ่ายบุคคล คุณคงเคยเผชิญกับสถานการณ์ที่พนักงานในองค์กรเริ่มมีความขัดแย้งกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยข่าวลือซุบซิบนินทา ทำให้เพื่อนร่วมงานเสียหน้า หรือการสร้างสถานการณ์เพื่อให้ตัวเองดูเหนือกว่า ปัญหาเหล่านี้ดูเหมือนเล็ก แต่กลับบั่นทอนความไว้วางใจในทีมและทำลายบรรยากาศการทำงานในระยะยาวมากๆ เลยค่ะ


คุมทีมไม่ได้ คนไม่เกรงใจ เกรงใจจนไม่กล้า เข้าใจ ‘Position’ จิตวิทยา ที่จะช่วยให้ทีมยอมรับ
คุณเคยรู้สึกไหมว่า… ในฐานะหัวหน้า คุณพยายามทุกวิถีทางแล้ว แต่ทีมก็ยังทำตามที่คุณคาดหวังไว้ไม่ได้
บางครั้งลูกน้องก็ค่อยไม่เกรงใจ มีทั้งพูดแทรกในที่ประชุมและโต้เถียงแบบไม่ฟังเหตุผล ในบางครั้งลูกน้องก็กลับเงียบเกินไป แม้จะมีปัญหาอยู่ในใจแต่ก็ไม่พูด จนสะสมกลายเป็นเรื่องลุกลามใหญ่โต


ทำงานเก่ง แต่พูดแล้วไม่มีใครฟัง คุณอาจติดกับดักการสื่อสารแบบ ‘Child State’
คุณอาจเริ่มคิดว่า “ทำไมเขาไม่เห็นค่าฉัน” หรือ “นี่ฉันไม่มีบารมีพอจะให้คนฟังเหรอ” ความจริงแล้ว ปัญหาอาจไม่ใช่เนื้อหาที่คุณพูด หรือความสามารถที่คุณมี แต่อยู่ที่ “วิธีการสื่อสาร” ที่ส่งสัญญาณบางอย่างให้คนฟัง “ปิดใจ” โดยที่คุณเองก็ไม่รู้ตัว สัญญาณนี้ มักเกี่ยวข้องกับสภาวะทางจิตใจที่เรียกว่า “Child State”


5 วิธีการสื่อสารเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ในทีม
เคยไหมที่คุณจัดประชุมเพื่อ Brainstorm ความคิดกัน แต่บรรยากาศกลับเงียบเหมือนห้องสอบสวน คนพูดก็มีอยู่ไม่กี่คน ไอเดียวนกลับมาตามกรอบเดิมๆ และบางคนก็เอาแต่นั่งก้มหน้า ไม่กล้าเสนออะไรใหม่ๆ เพราะกลัวโดนมองว่าเพ้อฝัน หรือไม่น่าจะเวิร์ค สุดท้ายการประชุมที่ควรจะได้ความคิดสร้างสรรค์ กลับจบด้วยความรู้สึกเสียเวลา


6 เทคนิคการสื่อสารสำหรับผู้นำเพื่อสร้าง Psychological Safety ในทีม
Psychological Safety คือ ความรู้สึกปลอดภัยที่ทีมมั่นใจว่า การพูด การถาม การเสนอความเห็น หรือแม้แต่การยอมรับความผิดพลาด จะไม่ถูกตำหนิ ดูแคลน ด้อยค่า หรือส่งผลเสียต่อสถานะของพวกเขา ลองนึกภาพง่ายๆ ว่า ถ้าที่ประชุม ทีมกล้าพูดว่า “ฉันไม่แน่ใจว่าทำแบบนี้ถูกไหม” หรือ “ฉันมีไอเดียแปลกๆ แต่อยากลอง” โดยไม่กลัวโดนหัวหน้าตำหนิหรือเพื่อนร่วมทีมจะแซะ นั่นคือ พื้นที่ปลอดภัยที่ความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้ และความร่วมมือจะเกิดขึ้น


5 วิธีรับมือและป้องกัน Power Harassment ในที่ทำงาน
คุณอาจเคยเจอสถานการณ์ที่หัวหน้างานหรือผู้บริหารใช้อำนาจในทางที่ผิด ข่มขู่ ตำหนิ หรือกดดันลูกน้องอย่างไม่มีเหตุผล นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า Power Harassment ซึ่งเป็นภัยเงียบที่ส่งผลต่อความมั่นคงของวัฒนธรรมองค์กรโดยตรง
