เหตุผลที่ไม่ควรบอกว่าใครเป็นโรคซึมเศร้า หากว่าเขายังไม่เคยพบจิตแพทย์
แม้ว่าสมัยนี้จะมีเครื่องมือในการประเมินโรคซึมเศร้าให้ใช้ได้ฟรีผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ แต่ผลการประเมินที่ได้จากเว็บไซต์เหล่านั้นไม่สามารถใช้วินิจฉัยว่าใครเป็นโรคซึมเศร้าได้ ทำได้เพียงแค่ระบุความเสี่ยงและแนวโน้มเท่านั้น ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยตอบคำถามที่ว่า “ฉันต้องไปหาหมอหรือยังนะ?” โดยจิตแพทย์เท่านั้นที่จะวินิจฉัยหรือระบุได้ว่าใครป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและควรได้รับการรักษาไปในทิศทางใด หรืออย่างน้อยเมื่อเกิดความสงสัยว่าตัวเองจะเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ก็ควรไปรับการตรวจจากแพทย์ก่อน เหตุผลได้แก่
เพราะมีโรคทางกายบางโรคที่ส่งผลให้อารมณ์มีการเปลี่ยนแปลง
โรคทางกายบางโรคทำให้ผู้ป่วยมีอารมณ์ที่คล้ายกับคนเป็นโรคซึมเศร้า หากไม่ได้ไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโรคอย่างละเอียดแล้วไปแก้ปัญหาด้วยตนเอง เช่น ไปขอแบ่งยาจากผู้ป่วยที่กำลังรับการรักษามากิน เพราะคิดว่าอาการมันเหมือนกัน น่าจะใช้รักษาด้วยชนิดเดียวกันนี้ได้ การทำเช่นนี้นอกจากจะทำให้ได้รับยาที่ไม่เหมาะสมกับอาการของตัวเองแล้ว หากผู้ป่วยมีโรคทางกายก็จะทำให้ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตามไปด้วย โดยโรคทางกายที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการคล้ายโรคซึมเศร้า ยกตัวอย่างเช่น
ภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome: CFS) ผู้ป่วยมักมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ สมาธิความจำด้อยประสิทธิภาพลง และรู้สึกอ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรง
โรคติดเชื้อจากแบคทีเรียจากเห็บ (Lyme Disease) ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการสมาธิความจำถดถอย ซึมเศร้า มึนงง และอ่อนเพลีย
โรคต่อมไทรอยด์ผิดปกติ (Thyroid Disorder) ผู้ป่วยที่มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ (hypothyroid) มักจะมีอารมณ์ซึมเศร้าหดหู่ ซึ่งโดยมากแล้วผู้ป่วยที่มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำจะไม่ได้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และผู้ป่วยโรคซึมเศร้าก็มักไม่ได้มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ
โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา แพลลิดัม (Treponema pallidum) ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาเชื้อดังกล่าวก็จะไปทำลายประสาทและสมอง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีปัญหาด้านความคิดความจำ และมีความคิดที่คล้ายกับผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าในระดับรุนแรง
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น(obstructive sleep apnea) ผู้ป่วยมักจะมีอาการอ่อนเพลียในตอนกลางวัน และไม่ว่าจะหลับมากหรือน้อยก็จะยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ดี ทำให้มักมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้าไม่สดชื่น และมีอาการวิตกกังวล
เนื้องอกประสาทต่อมไร้ท่อ (Neuroendocrine Tumors) ยกตัวอย่างเช่น เนื้องอกต่อมหมวกไต (pheochromocytoma) ซึ่งส่งผลให้ร่างกายผลิต adrenaline ออกมามากเกินไป ทำให้ผู้ป่วยบางคนมีอาการแพนิกหรือวิตกกังวล เหงื่อออกมาก ปวดหัว และใจสั่น
การขาดวิตามินดี (Vitamin D deficiency) วิตามินดีจะช่วยการทำงานของร่างกายเป็นไปได้ตามปกติ การขาดวิตามินดีจนร่างกายเสียสมดุลจะทำให้มีอาการอ่อนเพลีย ปวดตามร่างกาย และอารมณ์มีการเปลี่ยนแปลง
ยังมีโรคทางจิตใจอีกหลายโรคที่มีอาการคล้ายโรคซึมเศร้า ยกตัวอย่างเช่น
โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder)
ความผิดปกติที่เกิดหลังจากเผชิญเหตุการณ์ที่สะเทือนใจ (Posttraumatic stress disorder: PTSD)
กลุ่มอาการผิดปกติทางอารมณ์และจิตใจอย่างรุนแรงก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual dysphoric disorder: PMDD)
จะเห็นได้ว่าโรคที่ยกตัวอย่างขึ้นมาจะมีอาการบางส่วนที่มีความคล้ายคลึงกับอาการหลัก ๆ ของโรคซึมเศร้าซึ่งผู้ป่วยมักจะมีอาการดังต่อไปนี้
ความอยากอาหารมีการเปลี่ยนแปลง
อ่อนเพลีย
รู้สึกผิดหรือรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า
มีอารมณ์หดหู่ซึมเศร้า
ไม่รู้สึกว่าอยากจะทำอะไรแม้แต่สิ่งที่เคยเป็นความชอบ
พลังงานน้อย (ทำให้ทำอะไรช้ากว่าที่เคยเป็น เช่น คิดช้า พูดช้า ตัดสินใจช้า)
มีความคิดอยากตายหรือรู้สึกว่าถ้าตายไปก็คงดี
มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ
สมาธิความจำลดลง
น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นจนสังเกตได้
ตามที่ยกตัวอย่างมาแล้วทั้งหมด จะเห็นได้ว่าการจะบอกให้แน่ชัดว่าใครป่วยหรือไม่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้านั้นไม่ง่ายเลย แม้แต่ผู้เขียนเองที่มีโปรไฟล์สายตรงด้านจิตวิทยาก็ขอบอกว่าในชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยวินิจฉัยโรคให้กับคนที่มาปรึกษา เพราะคนที่จะบอกหรือวินิจฉัยโรคได้จะต้องมีทั้งคุณวุฒิและประสบการณ์ที่ทำให้มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการวินิจฉัยโรค ซึ่งหลายครั้งจิตแพทย์เองก็ต้องทำงานร่วมกับสหวิชาชีพ เช่น นักจิตวิทยาคลินิกที่จะชำนาญด้านการใช้เครื่องมือทดสอบทางจิตวิทยา เนื่องจากผลกระทบที่ตามมานั้นอาจรุนแรงถึงขั้นผู้ป่วยมีการเสียชีวิตซึ่งเป็นความสูญเสียที่ไม่สามารถซ่อมแซมหรือรีเซตกลับคืนมาใหม่ได้
และในทางตรงข้ามกัน ผู้เขียนก็อยากเชิญชวนให้ไม่ตัดสินใครว่า “ไม่ได้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า” ด้วยเช่นกัน เนื่องจากบ่อยครั้งก็มีคนมาบอกกับผู้เขียนว่า “คนนี้ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าหรอก ก็แค่วอนนาบี เรียกร้องความสนใจ” ในส่วนนี้อยากชวนให้ระมัดระวังเป็นอย่างมาก เนื่องจากโรคซึมเศร้านั้นไม่ได้มาในรูปแบบซึมเศร้าหดหู่เสมอไป ยังมีโรคซึมเศร้าแบบแฝงที่ทำให้ผู้ป่วยมีลักษณะแบบ “ยิ้มให้คนทั้งโลก ร้องไห้กับตัวเอง” ซึ่งผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีอาการแบบนี้มักจะพยายามไม่แสดงออกว่าตัวเองกำลังรู้สึกทุกข์ทรมานหรือมีปัญหาอยู่ แต่จะพยายามทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจด้วยการยิ้มหัวเราะ บางคนยังมีนิสัยชอบสร้างสีสันให้กับกลุ่มเพื่อนอีกด้วย ดังนั้น ไม่ควรตัดสินว่าใครเรียกร้องความสนใจนะคะ หากรู้สึกเหนื่อยกับพฤติกรรมของผู้ป่วยก็ขอให้เปลี่ยนจากการตำหนิหรือด่วนตัดสินผู้ป่วยเป็นการสนับสนุนให้ผู้ป่วยไปพบจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอย่างสม่ำเสมอจะดีกว่าค่ะ เนื่องจากโรคซึมเศร้าเป็นโรคที่รักษาหายได้ ขอเพียงได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง
สำหรับใครที่กำลังเครียด กังวล คิดมาก ทั้งเรื่องของปัญหา Burn Out จากการทำงาน ปัญหาความสัมพันธ์ต่างๆ ในครอบครัว คนรัก ไปจนถึงภาวะต่างๆ เช่น ซึมเศร้า ทุกปํญหาสำคัญและเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเราเสมอ
iSTRONG ยินดีให้บริการ ปรึกษาด้านสุขภาพจิตโดยผู้เชี่ยวชาญ ทั้งจากจิตแพทย์และนักจิตวิทยา ดูรายละเอียดได้ที่นี่
iSTRONG Mental Health
ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร
บริการของเรา
สำหรับบุคคลทั่วไป
บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa
คอร์สฝึกอบรม การเป็นนักจิตวิทยาให้คำปรึกษา : http://bit.ly/3RQfQwS
สำหรับองค์กร
EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8
โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong
อ้างอิง:
[3] https://www.thyroid.org/patient-thyroid-information/ct-for-patients/april-2022/vol-15-issue-4-p-3-4/
ประวัติผู้เขียน
นิลุบล สุขวณิช (เฟิร์น) มีประสบการณ์ทำงานเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษาในมหาวิทยาลัยและเป็นวิทยากรเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิต/การพัฒนาตนเองให้แก่นักศึกษาเป็นเวลา 11 ปี ปัจจุบันเป็นแม่บ้านในอเมริกาที่มีความสนใจเกี่ยวกับ childhood trauma และยังคงมีความฝันที่จะสื่อสารกับสังคมให้เกิดการตระหนักเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิต
Nilubon Sukawanich (Fern) has work experiences as a counseling psychologist and speaker in university for 11 years. Currently occupation is a housewife in USA who keep on learning about childhood trauma and want to communicate to people about mental health problems awareness.