top of page

4 สไตล์การสื่อสารที่ควรเลิกใช้ หากไม่อยากให้การ “เกลียดคนในบ้าน” เกิดขึ้น

Updated: Aug 23, 2024


ree

การสื่อสารเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับมนุษย์ เพราะมนุษย์มีลักษณะเป็นสัตว์สังคม มนุษย์จึงมีความต้องการที่จะเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับคนอื่น โดยเฉพาะทางด้านจิตใจ เพื่อให้ไม่เกิดความรู้สึกว่างเปล่า โดดเดี่ยว หรือหวาดกลัว ซึ่งในการที่มนุษย์จะเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับอื่น ๆ ได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เพราะหากการสื่อสารที่เลือกใช้นั้นขาดประสิทธิภาพ ก็อาจจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ขัดแย้ง และความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งก็นำมาซึ่งความรู้สึกไม่มีความสุข


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นความสัมพันธ์กับสมาชิกในครอบครัว ก็อาจจะนำมาสู่ความรู้สึกเกลียดคนในบ้านได้ บทความนี้จึงอยากชวนทุกคนให้มารู้จักกับ 4 สไตล์การสื่อสารที่เป็นสาเหตุของความรู้สึกเกลียดคนในบ้าน เพื่อให้คุณสามารถเอาไปใช้เป็นแนวทางในการเปลี่ยนแปลงตัวเองและสร้างความสุขให้กับตัวเองและคนในครอบครัวได้


สไตล์การสื่อสารที่เป็นสาเหตุของความรู้สึกเกลียดคนในบ้าน (Toxic Communication Styles) ทั้ง 4 สไตล์ มีดังต่อไปนี้

1. ใช้การตำหนิวิจารณ์ (Criticism)

เป็นธรรมดาที่บางครั้งคนในบ้านจะทำอะไรไม่ถูกใจเรา หรือเราเองก็อาจจะมีบ้างที่ทำอะไรไม่ถูกใจคนในบ้าน และก็เป็นธรรมดาอีกเช่นกันที่เมื่อมีการทำอะไรไม่ถูกใจเกิดขึ้น ย่อมทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจ โมโห หรืออาจจะถึงขั้นปรี๊ดแตกในบางครั้ง แต่บ้านจะไม่เป็นเซฟโซนขึ้นมาโดยทันทีและอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกเกลียดคนในบ้านขึ้นมา หากการสื่อสารเป็นไปในลักษณะของการตำหนิวิจารณ์ เพราะการตำหนิวิจารณ์จะทำให้คนฟังรู้สึกว่าตัวเองมีอะไรที่ไม่ปกติหรือเป็นคนที่ไม่ดี ฟังแล้วรู้สึกแย่ และบางครั้งก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรผิดมากขนาดนั้นเลยหรือ?


เทคนิคในการปรับเปลี่ยน: ลองเปลี่ยนจากการตำหนิวิจารณ์ มาเป็นการสื่อสารความต้องการของตัวเองออกไปให้คนฟังได้รับรู้ว่าเราอยากให้เขาทำอย่างไร เช่น จากเดิม “เป็นอะไรมากมั้ย? จะขี้เกียจอะไรขนาดนั้น แค่เอาฝาชักโครกลงแค่นี้ก็ทำไม่ได้เลยหรือไง?” เปลี่ยนเป็น “ฉันอยากให้เธอเอาฝาชักโครกลงให้ด้วยทุกครั้ง”


2. ดูถูกหรือสบประมาท (Contempt)

การดูถูกหรือสบประมาท มีทั้งในรูปแบบของการใช้คำพูดสบประมาทและการใช้ภาษาท่าทางที่แสดงถึงการดูถูก ซึ่งการสื่อสารโดยใช้การดูถูกสบประมาทก็เป็นอีกวิธีการสื่อสารที่ทำให้ความรู้สึกเกลียดคนในบ้านเกิดขึ้นได้ เพราะพื้นฐานความต้องการของมนุษย์ทุกคนล้วนต้องการได้รับการยอมรับ แต่การดูถูกหรือสบประมาทเป็นการแสดงออกถึงการไม่ยอมรับ รวมถึง ยังสะท้อนถึงการไม่ให้เกียรติกันอีกด้วย


เทคนิคในการปรับเปลี่ยน: ลองปรับมุมมองความเชื่อของตัวเองที่อาจจะเคยคิดว่า –ฉันดีกว่าเธอ- เป็นการมองว่าทุกคนมีคุณค่าและมีความเท่าเทียมกัน ไม่มีใครด้อยกว่าหรือเหนือกว่าไปใครในทุกด้าน แม้บางเรื่องเราอาจจะเก่งจริง ๆ แต่ก็อย่าลืมว่าเราเองก็ไม่ได้เก่งสมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่าง


การมองเห็นศักยภาพของคนอื่นในบ้านจะช่วยให้เราเกิดความรู้สึกชื่นชม และช่วยลดความรู้สึกว่า –เธอด้อยกว่าฉัน- อันเป็นความรู้สึกที่ทำให้เราเชื่อว่ามันสมเหตุสมผลแล้วที่เราจะดูถูกหรือสบประมาทคนอื่น เช่น จากเดิม “น้ำหน้าอย่างแกน่ะเหรอจะหางานดี ๆ ทำได้ ขนาดเรียนยังร่อแร่ เกรดก็ไม่ถึง 2.5” อาจจะเปลี่ยนเป็น ไม่ต้องพูดอะไรเลยยังดีกว่า หากพูดออกมาแล้วมันจะเป็นคำพูดเชิงลบที่ทำร้ายจิตใจคนฟัง แต่หากจะอยากจะสื่อสารกับคนในบ้านโดยที่ไม่ทำให้เกลียดกัน ก็ควรเลือกใช้คำพูดเชิงบวกมากกว่าคำพูดเชิงลบ เช่น “ไม่เป็นไรหรอก ถึงการเรียนจะกลาง ๆ แต่คนเรามันก็ต้องมีดีกันบ้าง ลูกชอบทำอะไรล่ะ?”


3. ชอบแก้ตัว (Defensiveness)

เป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้วที่ไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกแย่ และบางความรู้สึกแย่ก็มาจากการที่จะต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดหรือทำอะไรพลาดไป เพราะอาจจะนำมาซึ่งความรู้สึกอับอายขายหน้า หรือกลัวว่าจะถูกลงโทษ การแก้ตัวจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่มักถูกหยิบมาใช้เพื่อปกป้องตัวเอง แต่ในทางกลับกัน การแก้ตัวบ่อย ๆ จะยิ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดหวัง และถ้าต้องเจอกับการแก้ตัวบ่อย ๆ ก็อาจจะรู้สึกสิ้นหวังไปเลย เพราะรู้สึกว่า -พูดไปก็เท่านั้น ยังไงเขาก็แก้ตัวอยู่ดี- ทำให้ไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่ชอบแก้ตัวอีกต่อไป เพราะอยู่ด้วยแล้วไม่มีความสุข


เทคนิคในการปรับเปลี่ยน : สิ่งที่จะช่วยให้คุณสามารถพัฒนาตัวเองจากคนที่ชอบแก้ตัวไปสู่คนที่ยอมรับความจริงได้ ก็คือ ฝึกให้ตัวเองเป็นคนมีความรับผิดชอบ คนที่มีความรับผิดชอบจะไม่กลัวการถูกลงโทษ จึงมองว่า - ไม่จำเป็นต้องแก้ตัว แต่จำเป็นต้องแก้ไขตัวเอง – ซึ่งจะทำให้เลิกเป็นคนที่มีนิสัยชอบแก้ตัวเพื่อเอาตัวรอดจากการถูกลงโทษ หรือปรับมุมมองจากการมองว่า ความผิดพลาดเป็นเรื่องน่าอับอาย เป็น มองว่า เราจะเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองได้อย่างไรบ้าง ซึ่งการยอมรับผิดเมื่อตัวเองทำผิดและรู้จักพูดขอโทษออกไป ย่อมดีกว่าการทำผิดแล้วพยายามหาข้อแก้ตัวอย่างแน่นอน


4. ทำตัวเป็นเหมือนฝาผนัง (Stonewalling)

อย่างที่บอกไปแล้วว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีความต้องการเชื่อมโยงตัวเองกับคนอื่น ดังนั้น ลักษณะของการสื่อสารแบบหนึ่งที่มักจะนำไปสู่ความขัดแย้งจนอาจไปถึงขั้นเกลียดคนในบ้านก็คือ การไม่ตอบสนองแต่เลือกที่จะนิ่งเฉยแทน เหมือนพูดกับฝาผนังหรือกำแพงหินเย็น ๆ ที่ไม่มีเสียงตอบรับอะไรมาเลย ซึ่ง Stonewalling ที่ว่านี้ได้รวมไปถึงการที่อีกฝ่ายเลือกที่จะหนีบทสนทนาด้วย และยิ่งความรู้สึกแย่มันสะสมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแต่จะทำให้ความรู้สึกไม่พอใจมันเพิ่มขึ้นเท่านั้น และหากความไม่พอใจถูกเก็บสะสมไว้นาน ๆ ก็อาจจะกลายเป็นความเกลียดไปได้ในวันหนึ่ง


การที่บางคนเลือกที่จะนิ่งหรือหนีไปจากการสนทนา ในบางครั้งก็อาจจะเป็นไปได้ตัวเขาเองก็กำลังอยู่ในสภาวะที่ไม่พร้อมจะรับฟังด้วยเหมือนกัน เพราะอาจจะกำลังอยู่ในสภาวะเครียด กดดัน หรือกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ จึงไม่อยากจะรีบตอบสนองออกไปในตอนนั้นเพราะกลัวว่าจะเกิดการทะเลาะกันรุนแรงหากพูดออกไปตอนที่ตัวเองกำลังอารมณ์ไม่ดี


เทคนิคในการปรับเปลี่ยน : เพิ่มการสื่อสารความรู้สึกนึกคิดของตัวเองออกมาให้คนในบ้านรับรู้ว่าเพราะอะไรคุณจึงเลือกที่จะนิ่งแทนที่จะพูดคุยกัน ซึ่งการที่จะสื่อสารออกมาได้นั้น คุณจะต้องเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้ได้เสียก่อน โดยอาจจะเริ่มจากการฝึกฝนการคุยกับตัวเองให้สามารถมองเห็นความรู้สึกนึกคิดของตัวเองได้ชัดเจนมากขึ้น จะได้สามารถบอกให้คนอื่นรับรู้และเข้าใจได้ว่าตอนนี้คุณกำลังอยู่ในสภาวะอารมณ์แบบใด เช่น หากคนในบ้านต้องการที่จะพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นภายในบ้าน แต่คุณยังไม่พร้อม อาจจะสื่อสารออกไปว่า “ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกเครียดมาก ขอเวลาอยู่กับตัวเองสักสองวัน แล้วหลังจากนั้นเราค่อยมาคุยกันได้ไหม”


อย่างไรก็ตาม การอยู่ร่วมกันกับคนอื่นนั้นมีความเป็นศิลปะที่ไม่มีสูตรตายตัว หากคุณต้องการเรียนรู้วิธีการอยู่ร่วมกันกับคนอื่นเพิ่มเติม ก็สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือมาเรียนรู้กับหลักสูตรระยะสั้นของ iSTRONG ได้ค่ะ


สำหรับใครที่กำลังเครียด กังวล คิดมาก ทั้งเรื่องของปัญหา Burn Out จากการทำงาน ปัญหาความสัมพันธ์ต่างๆ ในครอบครัว คนรัก ไปจนถึงภาวะต่างๆ เช่น ซึมเศร้า ทุกปํญหาสำคัญและเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเราเสมอ


iSTRONG ยินดีให้บริการ ปรึกษาด้านสุขภาพจิตโดยผู้เชี่ยวชาญ ทั้งจากจิตแพทย์และนักจิตวิทยา ดูรายละเอียดได้ที่นี่

ree

iSTRONG Mental Health

ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร


บริการของเรา

สำหรับบุคคลทั่วไป

• บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa

คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS


สำหรับองค์กร

• EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8


โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ้างอิง

ประวัตินักเขียน

นางสาวนิลุบล สุขวณิช (เฟิร์น) ปริญญาโทสาขาจิตวิทยาการปรึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ปริญญาตรีสาขาจิตวิทยา (คลินิก) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ปัจจุบันเป็น นักจิตวิทยาการปรึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (ประสบการณ์การทำงาน 8 ปี)

และเป็นนักเขียนของ iSTRONG

iSTRONG ผู้ให้บริการด้านสุขภาพจิต Solutions ด้านสุขภาพจิต ให้คำปรึกษาโดยนักจิตวิทยา นักจิตบำบัด นักจิตวิทยาคลินิกที่มีใบรับรอง รวมถึงบทความจิตวิทยา

© 2016-2025 Actualiz Co.,Ltd. All rights reserved.

contact@istrong.co                     Call 02-0268949

  • Facebook Social Icon
  • YouTube Social  Icon
  • Instagram
  • Twitter
bottom of page