วางแผนการเงิน เพื่อสุขภาพจิตที่ดีฉบับมนุษย์เงินเดือนใน 3 นาที

จากบทความฉบับที่แล้วเรื่อง 3 สิ่งที่กำลังทำร้ายความมั่นคงทางการเงินและสุขภาพจิตของคุณ เราทิ้งท้ายกันตรงที่ว่าถ้าหากอยากหลุดพ้นจากวงเวียนการใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน เป็นหนี้บัตรเครดิต ทำงานมานานแต่ยังไม่มีเงินเก็บให้ตัวเอง ทุกอย่างต้องเริ่มจากการวางแผนทางการเงิน เพราะหนึ่งในสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพจิตเราได้มากที่สุดก็คือเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ นั่นเอง
แต่ในความเข้าใจของคนทั่วไป คำว่าการวางแผนทางการเงินดูเป็นคำที่ไกลตัวเหลือเกิน บางคนคิดว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ เป็นเรื่องของนักวิชาการนั่งทำตัวเลข เป็นเรื่องของคนมีเงินถึงจะทำได้ ทั้งหมดนี้เข้าใจผิดครับ! การวางแผนการเงินคือเรื่องของทุกคน และยิ่งถ้าคุณคิดว่าตัวเองมีเงินน้อย การวางแผนการเงินยิ่งจำเป็น!
ที่จริงเราคุ้นเคยกับการวางแผนมาตลอดชีวิต เช่น วางแผนการเรียน วางแผนการทำงาน วางแผนช็อปปิ้ง วางแผนไปเที่ยววันหยุด วางแผนเล่นเกม คำว่าวางแผนที่จริงไม่มีอะไรซับซ้อนเลย มันคือการคิดว่า “ทำอย่างไรเราจะไปถึงเป้าหมาย” นั่นเอง และสิ่งที่ทำให้การวางแผนทางการเงินของเรายากที่สุดก็คือ “เราไม่เคยมีเป้าหมายทางการเงินในชีวิตเลย” จริงไหม?
บางคนที่เตรียมจะแย้งว่าเอ๊ะ เราก็เคยคิดถึงเป้าหมายทางการเงินนะ เราอยากมีเงินเก็บเป็นล้าน ๆ เราอยากมีบ้านสวนต่างจังหวัด เราอยากมีรถหรูขับ นี่ไงมีเป้าหมายแล้ว ขอบอกเลยว่าแค่นี้ยังไม่ใช่ครับ เพราะมันเป็นภาพลอย ๆ จาง ๆ มองแล้วเป็นภาพฝันกลางวัน สิบปีที่แล้วเคยฝันอย่างไรปีนี้ก็ยังฝันแบบนั้น และยังพบปัญหาทางการเงินเดิม ๆ ต่อไป ที่เป็นแบบนี้เพราะเป้าหมายทางการเงินของเรายังไม่มีความแน่นหนามากพอ
การตั้งเป้าหมายต่าง ๆ ในชีวิต รวมถึงการตั้งเป้าหมายทางการเงิน หลักสำคัญคือต้องมีความ ‘SMART’ คือมีทั้ง
S : Specific มีความเจาะจงเป็นเรื่อง ๆ ชัดเจน
M : Measurable ต้องวัดในเชิงปริมาณเป็นตัวเลขได้ ไม่ใช่ภาพลอย ๆ แค่ว่ามี
A : Achievable ต้องอยู่ในวิสัยที่ทำให้สำเร็จได้ แต่ก็ต้องเป็นเป้าหมายที่มีความท้าทายด้วย ต้องใช้ความพยายามมากกว่าในชีวิตปกติเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและอยู่ในวิสัยที่ไปถึงได้
R : Realistic ตั้งเป้าหมายบนพื้นฐานความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าฝันอยากมีสินทรัพย์มากกว่าอีลอน มัสก์ หรือมีหนี้สิน 8 ล้านบาทอยากทำงานอะไรก็ได้ที่ปลดหนี้ได้ในหนึ่งปี แบบนี้ไม่ถือว่าอยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้ หรือเป็นไปได้ยากและจะทำให้เราท้อถอยระหว่างทางจนเป้าหมายกลายเป็นฝันกลางวันเหมือนเดิม
T : Time-bound มีกรอบเวลากำหนดชัดเจนเป้าหมายหรือแผนที่ไม่มีเรื่องเวลากำกับทำไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ ไม่มีความกดดันเลย สุดท้ายก็จะไม่ไปถึงสักที ใช่หรือไม่ลองถามใจเราตอนเรียนที่เร่งอ่านหนังสือตอนใกล้วันสอบเพราะวันสอบมีกำหนดไว้ชัดเจน ถ้าหากการเรียนไม่มีวันสอบเป็นกรอบเวลาเราอาจอ่านหนังสือแบบเรื่อยเฉื่อยและสุดท้ายก็เลิกอ่าน ไม่จบเนื้อหาสักที
มาลองดูตั้งเป้าหมายทางการเงินแบบ SMART กันดูครับ
เป้าหมายเดิม (ฝันกลางวัน)
“ฉันอยากมีเงินเก็บมาก ๆ ปลูกบ้านใหม่ในพื้นที่อากาศดี ๆ สักหลัง ซื้อที่ดินแล้วอยู่สบายมีเงินใช้ตอนแก่”
เป็นเป้าหมายแบบ SMART
“ฉันจะต้องมีเงินออม 4 ล้านบาท ภายในเดือนธันวาคม 2574 หรือสิบปีนับจากนี้ จากการทำงานหลักและงานเสริม เพื่อเอาไปซื้อที่ดิน 6 ไร่ และสร้างบ้านที่จังหวัด XXX จำนวน 3 ล้านบาท อีก 1 ล้านบาทฉันจะนำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 6% ต่อปี ทำให้อีกสิบปีข้างหน้าฉันจะมีผลตอบแทนการลงทุนเป็นรายได้อีกช่องทางเดือนละ 5,000 บาท”
เป็นเป้าหมายระยะยาวที่มองผลในอีกสิบปีข้างหน้า ระหว่างทางอาจมีเหตุไม่คาดฝันอื่น ๆ เกิดขึ้นทำให้แผนของเราเปลี่ยนไปก็ได้ แต่แน่นอนว่าการมีแผนย่อมดีกว่าการไม่มีแผนเลย และเมื่อเรามีแผนชัดเจนแบบ SMART ด้านบน
เมื่อเวลาผ่านไป เช่น ผ่านไปถึงปี 2568 หรือผ่านไปกว่าหนึ่งในสามของแผนที่ตั้งไว้เมื่อเราทบทวนเป้าหมายและพบว่าตอนนี้เพิ่งเก็บเงินได้หนึ่งล้านบาทแรกเท่านั้นเราจะรู้ทันทีว่าการดำเนินการตามแผนกำลังมีปัญหาแล้ว ถึงเวลานั้นเราจะได้คิดใหม่ว่าจะทำอย่างไรดีระหว่างเร่งการสร้างรายได้เพื่อให้เงินออมกลับมาเป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างไร
ยิ่งทบทวนบ่อยยิ่งปรับแผนปรับวิธีการได้ดียิ่งขึ้น เช่นทบทวนทุกสามเดือน หกเดือน หนึ่งปี แต่ไม่แนะนำให้ทบทวนแล้วปรับเป้าหมายลดลงหรือขยายเวลาออกไปถ้าไม่จำเป็น ควรยึดกรอบเวลาเดิมและเป้าหมายเดิมถ้าหากไม่มีอะไรทำให้ความจำเป็นเปลี่ยนไป
แต่ใช้วิธีย่อยในการเร่งสู่เป้าหมายดีกว่า เช่น หารายได้จากอาชีพเสริม ลงทุนเพิ่มเติม ตัดขายสินทรัพย์บางประเภทที่สิ้นเปลืองและทำให้เรามีค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น ออกงานสังคมลดลงเพื่อประหยัดรายจ่าย เปลี่ยนวิธีการเดินทาง ฯลฯ
ในเรื่องการหาอาชีพเสริมนั้น คนจำนวนมากยังมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับคนที่ทำงานหลายอาชีพ เช่นมองว่าคนที่ทำงานอาชีพเสริมคงมีฐานะยากลำบาก รายได้จากการทำงานคงไม่พอเลี้ยงชีพ น่าสงสาร ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้นทั้งหมด
การที่เรามีเป้าหมายที่สูงขึ้นแน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาคือต้องใช้ความพยายามมากขึ้น นักกีฬามืออาชีพที่มีเป้าหมายไปโอลิมปิกย่อมต้องทำงานมากกว่านักกีฬาสมัครเล่นที่ไม่มีเป้าหมายอะไร การทำงานหลายอาชีพหรือมุ่งมั่นที่จะมีรายได้หลายทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่บอกว่าเรามีคุณค่าและมุ่งมั่นกับอนาคตของตัวเองมากพอ
แต่การทำงานอาชีพใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งใจทำงานหลักให้ดีที่สุดเพื่อสร้างความก้าวหน้าและผลตอบแทน หรือการทำอาชีพเสริมที่เหมาะกับตัวเราเพื่อเพิ่มช่องทางรายได้ ทั้งหมดนี้ยังถือว่ารายได้ที่เข้ามานั้นเป็น Active Income หรือรายได้ที่ต้อง “ออกไปหา”
ซึ่งถ้าหากวันใดที่เราเจ็บป่วย หรือพบเหตุสุดวิสัยที่ทำงานไม่ได้ รายได้จากตรงนี้จะหดหายไปทันที เราจึงต้องนำเงินที่ได้จากการทำงานแบบ Active Income ไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนอีกทางเพื่อให้เกิดรายได้จากสินทรัพย์หรือที่เรียกว่า Passive Income เช่น มีบ้านให้เช่า มีกิจการที่ทำรายได้ให้กับเราแม้ในวันที่เราไม่ได้ไปดูแล
มีการลงทุนในหุ้นปันผลสูง ตราสารหนี้ที่จ่ายผลตอบแทนสม่ำเสมอ ซึ่งเมื่อรวมกับรายได้แบบ Active Income จะทำให้เกิดผลตอบแทนทบต้นและพาเราไปยังเป้าหมายได้เร็วขึ้นกว่าการก้มหน้าหารายได้แบบ Active Income อย่างเดียวมาก ๆ
ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้และลองเริ่มตั้งเป้าหมายทางการเงินให้กับตัวเองเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับ คุณขยับเข้าใกล้เป้าหมายการมีชีวิตที่ดีมากขึ้นแล้ว การวางแผนการเงินที่ดีจะทำให้คุณมีชีวิตที่ดี ยากที่จะกลับไปเป็นคนที่ใช้จ่ายแบบเดือนชนเดือนหรือหนี้สินล้นพ้นตัว และนั่นคือกุญแจสำคัญที่ทำให้คุณและคนไทยเกินครึ่งก้าวพ้นจากปัญหาสุขภาพจิตและความเครียดเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ครับ
ในตอนหน้าเราจะมาวาดตารางงบดุลส่วนตัวของเราเองแบบง่าย ๆ กันดูครับ ตารางที่จะทำให้คุณร้องอุทานว่า “รู้แล้ว ทำไมเราถึงเก็บเงินไม่ได้สักที มันรั่วออกไปตรงนี้นี่เอง”
iSTRONG Mental Health
ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร
บริการของเรา
สำหรับบุคคลทั่วไป
• บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa
• คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS
สำหรับองค์กร
• EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8
โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong
ประวัตินักเขียน
ธเนศ เหลืองวิริยะแสง AFPT™
Investment Planner และ Wealth Trainer
M.Sc. (Industrial and Organizational Psychology), Kasetsart University.