How to อยู่เคียงข้างผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้โดยที่คนดูแลไม่ซึมเซาตามไปด้วย
- นิลุบล สุขวณิช
- Nov 27, 2023
- 1 min read
Updated: Jun 18

โรคซึมเศร้าเป็นอาการทางจิตใจที่ผู้ป่วยมักจะเกิดความรู้สึกทุกข์ทรมาน และบ่อยครั้งผู้ป่วยเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกหม่นหมองมีความคิดทางลบอยู่เกือบตลอดเวลา เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถบอกคนรอบข้างได้ว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่ภายในใจของผู้ป่วยมันจึงเป็นความยากสำหรับทั้งสองฝ่าย เกิดเป็นความหนักอกหนักใจทั้งฝ่ายผู้ป่วยโรคซึมเศร้าทั้งผู้ดูแล
ซึ่งปัญหามักจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ดูแลเกิดความเหนื่อยล้าโดยเฉพาะทางอารมณ์ เพราะอาจจะเผลอไปแสดงท่าทีบางอย่างที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกน้อยใจหรือเชื่อไปว่าตนเองเป็นภาระของคนรอบข้าง ทั้งที่ผู้ดูแลไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย เพียงแต่อยู่ในช่วงพลังน้อยต้องการพักเพื่อชาร์จพลังเท่านั้นเอง
ความสามารถในการฟื้นตัวหรือชาร์จพลังของผู้ดูแลจึงมีความสำคัญมาก เพราะคนเราแม้จะแข็งแรงแค่ไหนแต่ทุกคนก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่ต้องการช่วงเวลาพักเหมือนกัน บทความนี้จึงอยากชวนให้ผู้ดูแลทุกคนอย่าลืมหาเวลาดูแลใจตัวเองด้วยวิธีการดังนี้
1. หมั่นสังเกตสัญญาณเตือนว่าคุณเองก็เริ่มไม่ไหว ได้แก่
รู้สึกว่าตัวเองมีหน้าที่ต้องทำหรือกังวลอยู่ตลอดเวลา
รู้สึกเหนื่อยง่าย
มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ
น้ำหนักเปลี่ยนแปลง
หงุดหงิดโมโหง่าย
ความสนใจกระตือรือร้นต่อสิ่งที่ชอบลดลง (ไม่รู้สึกสนุกกับมันแล้ว)
รู้สึกเศร้า
ปวดหัวหรือปวดตามร่างกายทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรที่ใช้ร่างกาย
ดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติดมากขึ้น (รวมถึงยารักษาโรคบางชนิด)
ไม่ไปพบแพทย์เมื่อตัวเองมีอาการป่วย
2. ยอมรับการช่วยเหลือจากคนอื่น ยอมเป็นฝ่ายได้รับการดูแลหรือช่วยเหลือจากคนอื่นบ้าง
3. โฟกัสกับสิ่งที่ตัวเองทำได้ แทนที่จะโฟกัสว่าตัวเองบกพร้องหรือทำอะไรได้ไม่ดีพอ
4. ตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ในแต่ละวัน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ทำสำเร็จได้ไม่ยาก และปฏิเสธเมื่อมีคนมาขอให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำหรือทำแล้วเหนื่อยเกินไป
5. มองหาเครือข่ายหรือบริการ ที่สามารถเป็นตัวช่วยให้คุณได้ เช่น แม่บ้านทำความสะอาด
6. เข้าร่วม support group หมายถึงกลุ่มที่รวมเอาผู้คนที่มีประสบการณ์คล้ายกันมาพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ซึ่งนอกจากจะได้เพื่อนใหม่ ๆ แล้ว ยังช่วยให้ได้มุมมองที่หลากหลายจากการแลกเปลี่ยนกับคนอื่นอีกด้วย
7. ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวหรือเพื่อน ที่ให้พลังบวกกับคุณบ้าง
8. ดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง โดยเริ่มต้นที่การดูแลสิ่งที่เป็นพื้นฐาน ได้แก่ การกิน การนอน และการออกกำลังกาย
9. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ในกรณีที่รู้สึกว่าคุณเองก็เริ่มมีอาการบางอย่างที่สะท้อนถึงการมีปัญหาสุขภาพจิต รวมถึงเมื่อมีความรู้สึกบางอย่างที่รบกวนคุณ เช่น วิตกกังวล รู้สึกผิด
ทั้งนี้ ผู้เขียนเองในฐานะที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับทั้งผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและผู้ดูแล เช่น ญาติ แฟน เพื่อนสนิท ก็อยากจะขอเป็นคนกลางที่อยากจะช่วยสื่อสารทำความเข้าใจกับทั้งสองฝ่าย ดังนี้
สำหรับผู้ดูแล:
อย่าลืมว่าคุณเองก็เป็นมนุษย์ที่ต้องการการพักผ่อนและการได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นด้วยเหมือนกัน
คุณทำดีที่สุดแล้วเท่าที่คน ๆ หนึ่งที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญจะสามารถทำได้ ดังนั้น แม้ว่าคุณอาจจะเผลอทำบางอย่างที่ผิดหลักการทางจิตวิทยา แต่ถ้าหากทุกอย่างมาจากเจตนาที่ดีจริง ๆ ก็อย่าลืมให้อภัยตัวเองและบอกว่าเองว่าคุณสามารถไปพักแล้วกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
“Put Your Oxygen Mask on First, Before Assisting Others.” อย่าลืมสวมหน้ากากออกซิเจนให้กับตัวเองก่อนถึงค่อยไปสวมให้คนที่อยู่ในความดูแลของคุณ พยายามสังเกตตนเองว่ายังไหวหรือไม่ เพราะหากคุณเองก็กำลังอยู่ในวิกฤตหรือมีความเครียดเกิดขึ้นกับตนเอง การที่คุณยังไม่หันมาดูแลตัวเองให้มีพลังเพิ่มขึ้นมันอาจจะทำให้ทั้งคุณและผู้ป่วยแย่ไปด้วยกันทั้งคู่
สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า:
หากคุณมีความคิดว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือคนรอบข้าง สิ่งแรกที่คุณทำได้เลยก็คือการไปพบจิตแพทย์/นักจิตวิทยาตามนัดหมาย รวมถึงกินยาดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของคุณตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งมันอาจจะดูเล็กน้อยสำหรับคุณ แต่ความจริงแล้วมันไม่เล็กน้อยเลย เพราะคุณสามารถช่วยเหลือคนรอบข้างของคุณได้มากจากการทำสิ่งเหล่านี้
ไม่ใช่ทุกความเหนื่อยล้าที่เกิดกับผู้ดูแลมาจากคุณ บ่อยครั้งผู้ดูแลก็มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง ซึ่งมันเป็นปัญหาในส่วนของเขาที่คุณไม่ได้เป็นสาเหตุของปัญหาเลย ดังนั้น ขอให้พยายามมองทุกสิ่งตามความเป็นจริงว่าคุณไม่ใช่ตัวปัญหาหรือภาระ แต่ในบางครั้งผู้ดูแลเองก็มีปัญหาของตัวเองที่ทำให้ต้องหายหน้าไปจากคุณบ้างในบางเวลาเพื่อจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง
ท้ายนี้ ผู้เขียนอยากเน้นย้ำว่าโรคซึมเศร้าเป็นอาการ “ป่วย” ชนิดหนึ่งค่ะ คล้ายกับเวลาที่คุณป่วยเป็นไข้หวัด คุณเองก็ไม่ได้อยากให้น้ำมูกไหลเพราะว่ามันดูสกปรกเปรอะเปื้อน หรือมีอาการคัดจมูกที่ทำให้คุณรู้สึกทรมานจากอาการหายใจลำบาก โรคซึมเศร้าก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันค่ะ
ผู้ป่วยเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะมีความคิดลบ มองตัวเองไม่มีค่า และไม่สามารถหยุดอาการที่ทำให้ตนเองรู้สึกทุกข์ทรมานได้ จึงจำเป็นต้องไปพบจิตแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง ซึ่งหากผู้ดูแลมีความเข้าใจในส่วนนี้และลดความคาดหวังที่มีต่อผู้ป่วยลง
เช่น อยากให้กลับมาร่าเริงโดยทันทีหลังจากพบจิตแพทย์ครั้งสองครั้ง แต่ปรับมุมมองให้มองผู้ป่วยตามความเป็นจริงว่าเขากำลังอยู่ในช่วงที่อาการไม่ดี มีความจำเป็นต้องใช้เวลาในการรักษาเยียวยาระยะหนึ่งก่อน ก็จะช่วยให้ผู้ดูแลรู้สึกเครียดน้อยลง ซึ่งข่าวดีคือ โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวชที่รักษาหายได้ค่ะ
หากคุณเป็นหนึ่งคนที่อยากเข้าใจเรื่องซึมเศร้ามากขึ้น ทางเรา iSTRONG มีคอร์สออนไลน์ “ซึมเศร้า เราเข้าใจ” ที่ออกแบบโดยจิตแพทย์และนักจิตวิทยา เพื่อปูพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าอย่างรอบด้าน ทั้งในเชิงทฤษฎีและการปฏิบัติจริง
ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ตั้งแต่การรู้เท่าทันอาการซึมเศร้า ความแตกต่างระหว่างภาวะเครียด ภาวะหมดไฟ และโรคซึมเศร้า ไปจนถึงวิธีการรับมือ ให้คำปรึกษา และดูแลใจทั้งตนเอง คนรอบข้าง และคนที่คุณรัก
ไม่ว่าคุณจะกำลังเผชิญกับความเศร้า หรืออยู่ข้างๆ ใครบางคนที่กำลังเผชิญอยู่… คอร์สนี้จะเป็นแสงสว่างเล็กๆ ที่ช่วยให้เราเข้าใจกันมากขึ้น และดูแลใจกันได้ดีขึ้น
คลิกรายละเอียดคอร์ส “ซึมเศร้า เราเข้าใจ”
iSTRONG Mental Health
ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร
บริการของเรา
สำหรับบุคคลทั่วไป
บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa
คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS
สำหรับองค์กร
EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8
โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong
อ้างอิง:
[1] Caregiver stress: Tips for taking care of yourself https://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/stress-management/in-depth/caregiver-stress/art-20044784
บทความที่เกี่ยวข้อง
ประวัติผู้เขียน
นางสาวนิลุบล สุขวณิช (เฟิร์น) จบการศึกษาระดับปริญญาโทในสาขาจิตวิทยาการปรึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และระดับปริญญาตรีสาขาจิตวิทยา(คลินิก) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยา