top of page

จิตวิทยาการสื่อสารกับทีมงานต่างวัย ให้ทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น

Updated: Apr 28

iSTRONG จิตวิทยาการสื่อสารกับทีมงานต่างวัย ให้ทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น

ในฐานะหัวหน้า คุณเคยรู้สึกมึนงง สับสน หรือปวดหัวกับการที่ต้องบริหารทีมงานที่มีตั้งแต่ Baby Boomer, Gen X, Millennials (Gen Y) และ Gen Z มั้ย แม้จะใช้วิธีหรือคำพูดเดียวกัน แต่เข้าใจและได้ผลลัพธ์ไม่เท่ากัน


Gen Z ถามเยอะ อยากได้บริบท อยากรู้ “ทำไปเพื่ออะไร” ไม่ยอมทำงานหนักโดยไม่มีเหตุผล ลูกน้องรุ่นใหญ่กลับมองว่าคุณยังเด็กและประสบการณ์ไม่เท่าเขา เวลาที่คุณให้ทำอะไรใหม่ ๆ ก็ไม่อยากเปลี่ยนแปลง ซึ่งบางทีคุณพยายามจะอะลุ้มอล่วย รักษาความสัมพันธ์จนรู้สึกว่ากลายเป็นหัวหน้าที่เอาใจทุกคนแต่ไม่มีพลังขับเคลื่อนและเหนื่อยเกินจำเป็น


เรื่องเหล่านี้กลายเป็นความท้าทายของหัวหน้างานหลาย ๆ คน โดยเฉพาะในทีมที่มีคนจากหลาย Gen ดังนั้นการเรียนรู้เทคนิคจิตวิทยาการสื่อสารเพื่อไปเติมเต็มทักษะของหัวหน้างานนั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น และลดความปวดหัวได้ด้วย


ในบทความนี้จะขอนำทฤษฎีการสื่อสารระหว่างบุคคลที่ชื่อ Transactional Analysis (TA) มาประยุกต์เพื่อเป็นแนวทางการบริหารคนต่าง Gen สำหรับหัวหน้างานและคนทำงานในองค์กร


เรียนรู้จิตวิทยาการสื่อสาร

Transactional Analysis หรือ TA เป็นแนวคิดทางจิตวิทยาที่พัฒนาโดยจิตแพทย์ที่ชื่อ Eric Berne ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ผ่านมุมมองของ “Ego State” หรือเรียกให้เข้าใจง่ายว่า ตัวตน 3 รูปแบบหลัก และ 5 รูปแบบย่อย ที่เราทุกคนมีและสลับใช้ตลอดเวลา ได้แก่


  1. Parent (พ่อแม่) – อยู่กับกฎเกณฑ์ ความถูกผิด การออกคำสั่ง การควบคุม แบ่งเป็น 2 รูปแบบย่อย คือ

    1. Critical Parent (พ่อแม่ที่เข้มงวด) ชอบสั่งสอน ควบคุม ตั้งกฎเกณฑ์ ตำหนิ หรือวิพากษ์วิจารณ์ มักมีคำพูดในเชิงว่ากล่าว สั่ง บอกอีกฝ่ายว่าควรหรือไม่ควรทำอะไร และมักประเมินค่าว่าสิ่งต่าง ๆ ดีหรือไม่ดี

    2. Nurturing Parent (พ่อแม่ที่ใจดี) ชอบช่วยเหลือ สนับสนุน ห่วงใย ดูแล มักมีคำพูดในเชิงให้กำลังใจ ปลอบประโลม

  2. Adult (ผู้ใหญ่) – มีเหตุมีผล อยู่กับปัจจุบัน เปิดรับข้อมูล และตัดสินใจบนพื้นฐานของความจริง สื่อสารโดยไม่ใช้อารมณ์

  3. Child (เด็ก) – แสดงอารมณ์ตามความรู้สึก ต้องการการปกป้อง แต่มักมาจากการวางตำแหน่งตนเองที่ด้อยกว่า หรือเด็กกว่า แบ่งเป็น 2 รูปแบบย่อย คือ

    1. Free Child (เด็กรักอิสระ) มักทำอะไรตามใจ เอาแต่ใจ บางครั้งดื้อรั้น แต่อีกด้านคือความสนุกสนาน มีชีวิตชีวา เป็นตัวของตัวเอง มีอิสระ และกระตือรือร้น

    2. Adapted Child (เด็กว่านอนสอนง่าย) จะมีลักษณะเชื่อฟัง ยอมทำตามคำสั่ง ไม่แสดงความคิดเห็นของตนมากนัก


การเป็นหัวหน้าที่ดี ไม่ได้หมายถึงการวางตัวเป็น “Parent” แต่คือการ บริหาร “Ego State” ของตัวเองและของทีม ให้สื่อสารและทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น


ทำไมการบริหารทีมหลากหลายวัยถึงเป็นเรื่องท้าทาย

แต่ละเจเนอเรชันมี ความเชื่อ พฤติกรรม และภาษา ที่ต่างกัน

  • Gen Z ต้องการคำอธิบาย ความหมาย และพื้นที่ปลอดภัย (Psychological Safety)

  • Millennials ชอบความยืดหยุ่น และการร่วมมือ

  • Gen X เน้นประสิทธิภาพและการทำงานด้วยตัวเอง

  • Baby Boomers มักยึดมั่นในประสบการณ์และลำดับชั้น


แม้คนแต่ละวัยจะมีความแตกต่างกัน แต่คุณสามารถเรียนรู้และประยุกต์แนวทางการสื่อสารและการบริหารแบบ TA เพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการทำงานเป็นทีมด้วยกันได้


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวหน้าที่เก่งในยุคนี้ ต้องรู้ว่าเมื่อไรควร ใช้ Adult เมื่อไรควรโอบรับความเปราะบาง และเมื่อไรควรหยุดความขัดแย้งด้วยความเข้าใจ ด้วย Nurturing Parent


เทคนิคใช้จิตวิทยาการสื่อสารแบบ TA เพื่อบริหารทีมต่างเจเนอเรชัน

1. เริ่มต้นการสื่อสารด้วยภาษาแบบ “Adult ↔ Adult” (ผู้ใหญ่คุยกับผู้ใหญ่) เสมอ

ไม่ว่าคุณจะพูดกับเด็กจบใหม่ หรือพนักงานอายุงาน 20 ปี ควรพูดจากสถานะ “Adult” ที่มีเหตุผล ให้เกียรติ เป็นกลาง และเน้นเป้าหมายร่วมกัน เพราะการสื่อสารแบบ Adult จะเน้นข้อเท้จจริง ไม่มีอารมณ์หรืออคติเข้ามาเกี่ยวข้อง และเป็นรากฐานของความไว้วางใจ


✅ ใช้ประโยคเช่น

  • “คุณมีมุมมองอย่างไรกับแนวทางนี้?”

  • “มีข้อกังวลที่เราอาจยังไม่เห็นไหม?”

  • “เป้าหมายของทีมคืออะไร แล้วเราจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร?”


2. รับมือกับลูกน้องอาวุโสที่ใช้ “Parent” อย่างมืออาชีพ

ลูกน้องที่มีประสบการณ์มากกว่ามักจะแสดงออกแบบ “Critical Parent” แต่อาจจะไม่แสดงออกอย่างชัดเจนนัก หรือบางคนอาจใช้รูปแบบ "Nurturing Parent" ที่ใจดี แต่ก็ยังมองว่าเขาเป็นผู้ใหญ่กว่าคุณอยู่ดี เช่น:

  • “เรื่องที่เราทำมาตลอดก็ดีอยู่แล้ว”

  • “เมื่อก่อนเราไม่เคยทำแบบนี้”

  • “คนสมัยนี้ไม่เข้าใจระบบ”


คำแนะนำคือ อย่าตอบโต้ด้วยสถานะ “Child” โดยการดึงดั้นดื้อ ๆ โดยไม่พูดคุยกันด้วยเหตุผล ซึ่งนั่นจะยิ่งเป็นการส่งเสริมให้อีกฝ่ายสื่อสารแบบ Parent กับคุณ เช่น “ก็สมัยนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วนี่!” หรือพยายามใช้ "Critical Parent" เพื่อโต้กลับโดยการใช้อำนาจบีบบังคับ


แต่ให้คุณอยู่ในโหมด “Adult” ที่แสดงถึงความเคารพ เช่น

  • “ผม/ดิฉันเคารพประสบการณ์ของพี่มาก อยากชวนคุยว่าสถานการณ์ตอนนี้มีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง”

  • “ผม/ดิฉันอยากฟังมุมมองของพี่เพื่อปรับให้เหมาะกับโจทย์ในปัจจุบันครับ/ค่ะ”


3. ให้คำแนะนำ Gen Z โดยไม่ใช้รูปแบบ “Parent”

Gen Z มักต้องการ feedback บ่อย ๆ และอาจไม่ทนต่อคำตำหนิที่รุนแรง


ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงคำพูด เช่น

  • “คุณควรจะรู้อยู่แล้วสิ”

  • “ทำไมต้องให้บอกทุกอย่าง”

  • “เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้เหรอ”


ข้อแนะนำคือ คุณควรเปลี่ยนมาใช้การสื่อสารแบบ “Adult” หรือ “Nurturing Parent” เช่น:

  • “ตรงนี้ถ้าเราปรับแบบนี้จะเวิร์กขึ้นนะ ลองดูกันไหม?”

  • “สิ่งที่คุณทำได้ดีคือ... ส่วนที่เรายังปรับได้มีแค่นี้ ลองมาคุยวิธีทำกัน”


4. มองให้ออกว่าแต่ละอารมณ์มาจาก Ego State ไหน แล้วนำพาบทสนทนากลับสู่สถานะ “Adult”

หากลูกทีมแสดงอารมณ์ เช่น โกรธ ประชด เงียบ หรือไม่ตอบ นั่นอาจเป็นสถานะ “Free Child” หรือ “Adapted Child” ในตัวเขากำลังทำงานอยู่


คำแนะนำคืออย่าตอบกลับด้วยอารมณ์ แต่ให้ถามด้วยความสงบนิ่งว่า

  • “ผม/ดิฉันเห็นว่าสิ่งนี้ทำให้คุณไม่สบายใจ อยากเล่าให้ฟังไหม”

  • “เรามีสิ่งไหนที่ควรเคลียร์กัน เพื่อให้เดินหน้าต่อได้”


5. ปรับตัวเพื่อเข้าใจ แต่ไม่ทิ้งบทบาทผู้นำของตัวเอง

หัวหน้าบางคนพยายามเอาใจลูกน้องมากเกินไป จนตกไปอยู่ในสถานะ “Adapted Child” คือยอมลูกน้องทุกเรื่อง หรือ “Nurturing Parent” คือใจดีมากเกินไป สุดท้ายอาจกลายเป็นหัวหน้าที่ไม่มีอำนาจ


คำแนะนำคือรักษาโหมด “Adult” ไว้อย่างมั่นคง

  • ชัดเจนเรื่องความคาดหวัง

  • แสดงความเข้าใจแต่ไม่ยอมให้ละเลยเป้าหมาย

  • ยอมรับเมื่อไม่รู้ และพร้อมหาคำตอบร่วมกัน


กรณีศึกษา: ผู้นำรุ่นใหม่กับทีมหลากรุ่น

“เมย์” หัวหน้าวัย 32 ปี มีทีมที่ประกอบด้วย:

  • Gen Z วัย 23-25 ปี ที่ต้องการคำแนะนำแบบใกล้ชิด

  • “พี่ป้อง” อายุ 55 ปี อยู่บริษัทมานานเกือบ 30 ปี


เมย์รู้สึกเหนื่อย ทั้งต้องตอบคำถามจาก Gen Z ทั้งต้องพิสูจน์ตัวเองกับลูกน้องที่อาวุโสกว่า


หลังเรียนรู้จากคลาส TA แล้ว ...

  • เมย์เริ่มใช้การสื่อสารในโหมด “Adult ↔ Adult” ในทุกบทสนทนา

  • กับ Gen Z เธอใช้คำถามกระตุ้นการคิด เช่น “คุณอยากลองแก้แบบไหนก่อน”

  • กับพี่ป้อง เธอใช้วิธี “ขอความเห็น + ชัดเจนในบทบาท” เช่น “หนูขอปรึกษาพี่ในมุมที่พี่มีประสบการณ์ แต่สุดท้ายหนูจะเป็นคนตัดสินใจ เพราะเป็นผู้รับผิดชอบ”


ผลลัพธ์:

  • Gen Z เริ่มกล้าตัดสินใจและเรียนรู้เร็วขึ้น

  • พี่ป้องให้ความร่วมมือและเคารพบทบาทของเธอ

  • เมย์รู้สึกมั่นใจในบทบาทผู้นำมากขึ้น และการร่วมมือในทีมก็มีมากขึ้น


การเป็นหัวหน้าในยุคนี้ ไม่ใช่แค่มีประสบการณ์หรืออำนาจแต่คือการเข้าใจ จิตวิทยาของอารมณ์ และสื่อสารในแบบที่เชื่อมโยงคนหลายรุ่นให้ร่วมมือกันได้


ครั้งหน้าที่คุณต้องพูดกับทีม ลองถามตัวเองว่า:

“ตอนนี้ฉันอยู่ใน Ego State ไหน?”

“ฉันต้องพูดกับลูกน้องคนนี้ด้วย Ego State จึงจะเกิดพลังร่วม?”


เมื่อคุณบริหาร Ego State ของตัวเองได้ คุณก็จะบริหารใจคนได้อย่างแท้จริง


หากคุณต้องการเรียนรู้หลักการจิตวิทยานี้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น คุณสามารถเข้าร่วมสัมมนา The Art of Influence ที่สอนโดยนักจิตวิทยา ใช้เวลา 1 วัน เพื่อเข้าใจแนวทาง เรียนรู้ผ่านเคสที่น่าสนใจมากมาย และได้ฝึกปฏิบัติในการใช้งานจริง ซึ่งคุณจะได้เทคนิคในการสื่อสารและโน้มน้าวใจผู้คนอย่างได้ผลมากขึ้น รู้เท่าทันเกมทางจิตวิทยาจากผู้คน และรู้วิธีรับมือกับเกมจิตวิทยาเหล่านั้นอย่างมีวุฒิภาวะ ช่วยแก้ปัญหาความสัมพันธ์ทั้งในที่ทำงานและครอบครัวได้อย่างมีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

iSTRONG Mental Health

ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร


บริการของเรา

สำหรับบุคคลทั่วไป

  • บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa  

  • คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS 

สำหรับองค์กร

โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong


iSTRONG ผู้ให้บริการด้านสุขภาพจิต Solutions ด้านสุขภาพจิต ให้คำปรึกษาโดยนักจิตวิทยา นักจิตบำบัด นักจิตวิทยาคลินิกที่มีใบรับรอง รวมถึงบทความจิตวิทยา

© 2016-2025 Actualiz Co.,Ltd. All rights reserved.

contact@istrong.co                     Call 02-0268949

  • Facebook Social Icon
  • YouTube Social  Icon
  • Instagram
  • Twitter
bottom of page