เข้าใจ Toxic Masculinity ตัดวงจรทัศนคติที่พ่อแม่อาจส่งต่อถึงลูกๆ โดยไม่รู้ตัว
- iStrong team
- Mar 19
- 2 min read

วันก่อนผู้เขียนได้มีโอกาสดูมินิซีรีส์เรื่อง Adolescence ทาง Netflix และมีประเด็นหนึ่งน่าสนใจที่ผู้เขียนอยากมาเขียนถึง นั่นคือ Toxic Masculinity ที่ถูกส่งต่อรุ่นสู่รุ่น (โดยไม่รู้ตัว) ทั้งจากพ่อแม่และสังคม
"ลูกผู้ชายตัวจริงต้องไม่ร้องไห้"
"ผู้ชายต้องเข้มแข็งขึ้นสิ!"
"ผู้หญิงควรดูแลตัวเองให้ดูดีจะได้ถูกรัก"
นี่เป็นเพียงไม่กี่ข้อความที่ Toxic Masculinity ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น พ่อแม่ที่ยึดมั่นในความเชื่อที่แข็งกร้าวเหล่านี้อาจคิดว่ากำลังสอนความเข้มแข็ง ภาวะผู้นำ หรือความยืดหยุ่นให้กับลูกชาย และสอนความอ่อนโยน น่ารักให้กับลูกสาว แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขากำลังสร้าง การตัดขาดทางอารมณ์ (Emotional disconnection) ความไม่มั่นใจในตนเอง และความไม่เท่าเทียมทางเพศ ในลูกของตัวเอง ทั้งลูกชายและลูกสาว
เด็กผู้ชายที่เติบโตภายใต้ Toxic Masculinity มักจะต่อสู้กับ การเก็บกดอารมณ์ ความก้าวร้าว และปัญหาความสัมพันธ์ ในขณะที่ลูกสาวอาจเติบโตมาด้วยความรู้สึก ไร้ความมั่นใจ ถูกมองข้าม และไม่คู่ควรกับการได้รับความเคารพ วงจรนี้ดำเนินต่อไปเมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตเป็นพ่อแม่และทำซ้ำพฤติกรรมเดียวกันในครอบครัวของตัวเอง
เราลองมาสำรวจกันว่า Toxic Masculinity จากพ่อแม่ส่งผลกระทบต่อลูกๆ อย่างไรและเราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อทำลายวงจรนี้
Toxic Masculinity คืออะไร?
Toxic Masculinity คือ การบิดเบือนอัตลักษณ์ความเป็นชายไปในทางที่เป็นพิษ ที่เน้นใช้การครอบงำ การบังคับควบคุม การกดทับอารมณ์ และความเหนือกว่าทางเพศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นชายโดยตัวมันเอง แต่เป็น ความคาดหวังในทางที่แข็งกร้าวและไม่เป็นผลดี ที่ถูกปลูกฝังในผู้ชาย
สำหรับผู้ปกครอง โดยเฉพาะพ่อ สิ่งเหล่านี้อาจแสดงออกใน
การกดทับอารมณ์ – สอนเด็กผู้ชายว่าอารมณ์คือความอ่อนแอ
การควบคุมแบบเผด็จการ – การนำด้วยความกลัวและการลงโทษแทนที่จะเป็นการชี้แนะ
การแข่งขันที่มากเกินไป – การให้คุณค่ากับความสำเร็จและอำนาจมากกว่าการเติบโตส่วนบุคคล
การไม่เคารพผู้หญิง – การมองว่าตัวเองเหนือกว่าผู้หญิงและปฏิบัติต่อพวกเธอเหมือนเป็นรองตน
ภาวะผู้นำที่ก้าวร้าว – การสอนว่า "ผู้ชายตัวจริง" ต้องครอบงำผู้อื่น รวมถึงภรรยาและลูกสาวของเขา
ผลที่ตามมาของพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อทั้งลูกชายและลูกสาว เป็นอย่างไร ไปดูกัน
Toxic Masculinity ส่งผลต่อลูกชายอย่างไร
การเก็บกดทางอารมณ์และปัญหาสุขภาพจิต
เด็กผู้ชายเรียนรู้ว่าความเศร้า ความกลัว หรือความวิตกกังวลเป็นสิ่งน่าอับอาย อ่อนแอ และควรซ่อนไว้ห้ามแสดงออก เมื่อเป็นผู้ใหญ่ พวกเขามักมีปัญหาด้านความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า และปัญหาการจัดการความโกรธ
คุณค่าในตนเองต่ำและความสับสนในอัตลักษณ์
ลูกชายที่ไม่สามารถทำตามความคาดหวังสูง (เกินไป) ของพ่อจะรู้สึกว่าตัวเองเป็น "คนล้มเหลว" (ในซีรีส์เป็นตอนที่ลูกชายลงแข่งฟุตบอลแต่เล่นได้ไม่ดี เมื่อมองไปทางพ่อ ก็เห็นว่าพ่อพยายามเบือนหน้าหนีไปทางอื่น) นำไปสู่ความไม่มั่นใจในตนเอง ความรู้สึกไม่มั่นคง และความต้องการการยอมรับจากภายนอก
ปัญหาในความสัมพันธ์
เด็กผู้ชายที่เติบโตมากับ Toxic Masculinity มักกลัวความเปราะบางทางอารมณ์ พวกเขาอาจมีปัญหาในความสัมพันธ์แบบโรแมนติก กลัวความใกล้ชิดหรือการควบคุม
พฤติกรรมก้าวร้าวและครอบงำ
อารมณ์ที่ถูกกดทับอาจเปลี่ยนเป็น ความโกรธ ความก้าวร้าว หรือการกลั่นแกล้ง พวกเขาอาจเชื่อว่าการครอบงำเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อพิสูจน์ความเป็นชายของตน
ความรู้สึกเหนือกว่าผู้หญิง
ลูกชายที่ถูกเลี้ยงดูโดยพ่อที่ไม่เคารพผู้หญิงอาจ ซึมซับความเชื่อที่เหยียดเพศ พวกเขาอาจมีปัญหาในการมองผู้หญิงเป็นเพื่อนที่เท่าเทียมในความสัมพันธ์ การทำงาน และสังคม
Toxic Masculinity ส่งผลต่อลูกสาวอย่างไร
เมื่อเราพูดถึง Toxic Masculinity ความสนใจมักจะอยู่ที่พ่อที่ส่งต่อความคาดหวังทางเพศที่แข็งกร้าวและเป็นอันตรายให้กับลูกชาย อย่างไรก็ตาม แม่ที่ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ก็สามารถเสริมความเชื่อที่เป็นพิษเหล่านี้ได้เช่นกัน
สิ่งนี้มักเกิดขึ้นเมื่อ ผู้หญิงที่ถูกเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมแบบชายเป็นใหญ่ ซึมซับแนวคิดเดียวกับที่ตนเองเคยถูกกดขี่ แทนที่จะท้าทายบรรทัดฐานเหล่านี้ พวกเธออาจ ส่งต่อสิ่งเหล่านี้ไปยังลูกๆ โดยเชื่อว่ากำลังสอน "วิธีที่ถูกต้อง" ให้เด็กผู้ชายเข้มแข็งและเด็กผู้หญิงเป็น "คนดี น่ารัก"
ความรู้สึกไร้ค่าหรือไร้อำนาจ
พ่อแม่ที่ให้ความสำคัญกับ การครอบงำของผู้ชาย อาจ เพิกเฉย ดูถูก หรือควบคุมลูกสาวของเขา สิ่งนี้ทำให้ลูกสาวรู้สึกว่าความคิดเห็น ทางเลือก หรือความสำเร็จของพวกเธอไม่สำคัญ
ความภาคภูมิใจในตนเองต่ำและการแสวงหาการยอมรับจากผู้ชาย
หากพ่อไม่เคารพผู้หญิง ลูกสาวของเขาอาจซึมซับความคิดว่าเธอไม่ดีพอ เธออาจเติบโตขึ้นมาโดย แสวงหาการยอมรับจากผู้ชาย โดยให้คุณค่าของตนเองขึ้นอยู่กับการยอมรับจากผู้ชาย
ความยากลำบากในการแสดงความคิดเห็น
เด็กผู้หญิงที่เติบโตในครอบครัวแบบนี้อาจมีปัญหาในการ แสดงความคิดเห็น หรือการตั้งขอบเขต พวกเธออาจรู้สึกไม่สบายใจในการแสดงความต้องการในความสัมพันธ์และในการทำงาน
การทำให้พฤติกรรมที่เป็นพิษหรือการกระทำรุนแรงเป็นเรื่องปกติ
ลูกสาวที่เห็นพ่อควบคุมแม่ อาจยอมรับ ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ ว่าเป็นเรื่องปกติ เธออาจทนต่อพฤติกรรมที่ไม่ดีจากคู่ของเธอ โดยเชื่อว่านั่นคือธรรมชาติของผู้ชาย
การทำลายศักยภาพของตนเอง
หากพ่อแม่คอยที่จะบั่นทอนความทะเยอทะยานของลูกสาว เธออาจสงสัยในตัวเอง แม้จะมีความสามารถและศักยภาพ เธออาจหยุดยั้งตนเองจากบทบาทผู้นำ
แม่สามารถส่งต่อ Toxic Masculinity โดยไม่ตั้งใจได้อย่างไร
แม่หลายคนไม่ตระหนักว่าพวกเธอกำลังเสริมบรรทัดฐานทางเพศที่ไม่เป็นผลดี บ่อยครั้งที่พวกเธอทำเช่นนั้นเพราะการเลี้ยงดูของตัวเอง แรงกดดันทางสังคม หรือประสบการณ์ส่วนตัวกับบทบาททางเพศ นี่คือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้
1. การสอนลูกชายให้กดทับอารมณ์
การพูดว่า "เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้" หรือ "เป็นผู้ชายหน่อย" เมื่อลูกชายแสดงความเศร้า
การปลอบลูกสาวเมื่อพวกเขาไม่สบายใจแต่บอกลูกชายให้ "สลัดมันทิ้งไป"
การส่งเสริมให้เด็กผู้ชายเข้มแข็งและเป็นอิสระแต่อนุญาตให้เด็กผู้หญิงแสดงความเปราะบางได้
ผลกระทบ: เด็กผู้ชายเติบโตขึ้นมาโดยเชื่อว่าอารมณ์เป็นสัญญาณของความอ่อนแอ นำไปสู่การกดทับอารมณ์ ปัญหาความโกรธ และความยากลำบากในการสร้างความสัมพันธ์เชิงลึก
2. การเสริมบทบาททางเพศในบ้าน
การคาดหวังให้ลูกสาวช่วยทำอาหาร ทำความสะอาด และดูแลพ่อแม่ ในขณะที่ลูกชายได้รับการยกเว้นจากงานบ้าน
การชื่นชมลูกชายสำหรับความสำเร็จและภาวะผู้นำ ในขณะที่ชื่นชมลูกสาวสำหรับการเป็น "เด็กดี" หรือ "ช่วยเหลือดี"
การส่งเสริมให้ลูกชายมุ่งมั่นในอาชีพ แต่แนะนำโดยอ้อมว่าลูกสาวควรมุ่งเน้นที่ชีวิตครอบครัว
ผลกระทบ: เด็กผู้หญิงเรียนรู้ว่าบทบาทของพวกเธอคือการรับใช้ ในขณะที่เด็กผู้ชายเรียนรู้ว่าความเป็นผู้นำและความเป็นอิสระมีไว้สำหรับผู้ชายเท่านั้น สิ่งนี้เสริมความไม่เท่าเทียมทางเพศในวัยผู้ใหญ่
3. การเลี้ยงลูกชายให้รู้สึกเหนือกว่าผู้หญิง
การบอกลูกสาวให้สุภาพ ถ่อมตัว และเชื่อฟัง ในขณะที่อนุญาตให้ลูกชายแสดงความมั่นใจหรือแม้กระทั่งก้าวร้าวได้
การปกป้องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของลูกชายด้วยคำพูดเช่น "เด็กผู้ชายก็เป็นแบบนี้แหละ"
การวิจารณ์ผู้หญิงมั่นใจที่ท้าทายบรรทัดฐานทางเพศในขณะที่ชื่นชมผู้ชายที่มีอำนาจและมั่นใจ
ผลกระทบ: ลูกชายเติบโตขึ้นมาโดยเชื่อว่าพวกเขามีสิทธิ์ในอำนาจและการควบคุมเหนือผู้หญิง ในขณะที่ลูกสาวเรียนรู้ที่จะ ยอมรับความเป็นผู้ตาม
4. การวิจารณ์ผู้หญิงที่เข้มแข็งและชื่นชมผู้หญิงที่ยอมจำนน
การพูดเช่น "ไม่มีผู้ชายคนไหนจะแต่งงานกับผู้หญิงที่มั่นใจในตัวเองเกินไปหรอก"
การเรียกผู้หญิงที่พูดตรงไปตรงมาว่า "ชอบออกคำสั่ง" ในขณะที่ชื่นชมผู้ชายว่าเป็น "ผู้นำ"
การตัดสินผู้หญิงที่ให้ความสำคัญกับอาชีพมากกว่าชีวิตครอบครัวในทางลบ
ผลกระทบ: ลูกสาวเติบโตขึ้นมาโดยรู้สึกว่าพวกเธอต้องลดตัวเองลงเพื่อที่จะได้รับความรัก และลูกชายเชื่อว่าพวกเขาควรเป็นฝ่ายควบคุมและนำในความสัมพันธ์
5. การสนับสนุนมาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมตามเพศ
การควบคุมลูกสาวอย่างเข้มงวด ในขณะที่ให้อิสระกับลูกชายมากกว่า (เช่น อนุญาตให้ลูกชายมีแฟนได้อย่างอิสระแต่ห้ามลูกสาว)
การกล่าวโทษผู้หญิงเมื่อถูกคุกคามทางเพศ (เช่น "ก็เธอแต่งตัวโป๊ไง") ในขณะที่ให้อภัยเด็กผู้ชาย (เช่น "เขาห้ามตัวเองไม่ได้ มันคือธรรมชาติ")
คาดหวังให้ผู้หญิงให้อภัยพฤติกรรมไม่ดีของผู้ชาย แต่ตัดสินผู้หญิงอย่างรุนแรงสำหรับความผิดพลาด
ผลกระทบ: มาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมเหล่านี้สอนทั้งลูกชายและลูกสาวว่าการกระทำของผู้ชายได้รับการยกเว้น ในขณะที่ผู้หญิงต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบ
วิธีที่พ่อแม่สามารถทำลายวงจรของ Toxic Masculinity และความไม่เท่าเทียมทางเพศ
การทำลายวงจร เริ่มต้นด้วยความตระหนักรู้ และพ่อ ไม่จำเป็นต้องทำซ้ำอดีต พวกเขาสามารถเลือก วิธีที่ดีกว่า พ่อแม่สามารถ เสริมพลังให้ทั้งลูกชายและลูกสาว โดยสอนพวกเขาเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ การเคารพ และความเท่าเทียม
วิธีเลี้ยงดูลูกชายให้เข้มแข็งทางอารมณ์และมีสุขภาพดี
1. ส่งเสริมการแสดงออกทางอารมณ์
❌ เลิกพูด: "อย่าร้องไห้"
✅ ลองพูด: "ไม่เป็นไรเลยที่จะรู้สึกเศร้า มาคุยกันเถอะ"
สอนเด็กผู้ชายว่าการแสดงอารมณ์เป็นเรื่องปกติและดีต่อสุขภาพ
แสดงให้พวกเขาเห็นว่าความเข้มแข็งที่แท้จริงคือ การยอมรับและจัดการกับอารมณ์ ไม่ใช่การกดทับมัน
ตัวอย่าง: หากลูกชายของคุณไม่พอใจหลังจากแพ้เกม แทนที่จะบอกให้เขา "เข้มแข็งสิ" ให้ถามว่า "มันทำให้ลูกรู้สึกอย่างไร? เราจะเรียนรู้อะไรจากสิ่งนี้ได้บ้าง?"
2. สอนว่าความเข้มแข็งมีหลายรูปแบบ
❌ เลิกพูด: "ผู้ชายไม่ขอความช่วยเหลือ"
✅ ลองพูด: "ไม่เป็นไรที่จะขอความช่วยเหลือเมื่อคุณต้องการ"
ความเข้มแข็งไม่ใช่เรื่องของการแสดงอำนาจและการครอบงำผู้อื่น แต่เป็นเรื่องของความยืดหยุ่น ความเมตตา และการตระหนักรู้ในตนเอง
สอนว่า การช่วยเหลือผู้อื่นและการแสดงความเปราะบางบ้างเป็นรูปแบบของความกล้าหาญที่แท้จริง
ตัวอย่าง: หากลูกชายของคุณมีปัญหาในโรงเรียน ให้แสดงให้เขาเห็นว่า การขอความช่วยเหลือเป็นสัญญาณของความเข้มแข็งไม่ใช่ความล้มเหลว
3. ส่งเสริมพฤติกรรมที่เคารพต่อผู้อื่น
❌ เลิกพูด: "เด็กผู้ชายก็เป็นแบบนี้แหละ"
✅ ลองพูด: "ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง"
สอนเด็กผู้ชายว่าการให้ความเคารพเป็นสิ่งที่ต้องมี ทั้งต่อผู้หญิง เพื่อน และตัวเอง
ท้าทายมุขตลกหรือการเหมารวม (stereotype) เกี่ยวกับเพศเมื่อคุณได้ยิน
ตัวอย่าง: หากลูกชายของคุณเห็นใครบางคนไม่เคารพเด็กผู้หญิง สอนให้เขาเห็นว่านั่นคือตัวอย่างที่ไม่ดี และสามารถหาวิธีสื่อสารอย่างเป็นมิตรเพื่อบอกคนเหล่านั้นได้
4. สร้างสมดุลระหว่างความเป็นอิสระกับการเชื่อมความสัมพันธ์
❌ เลิกพูด: "ลูกต้องเป็นผู้นำของบ้าน"
✅ ลองพูด: "เราสนับสนุนกันและกันในฐานะครอบครัว"
เด็กผู้ชายไม่ควรรู้สึกกดดันที่จะเป็น "ผู้หาเลี้ยง" หรือ "ผู้ปกป้อง" เร็วเกินไป
สอนว่าความสัมพันธ์ในครอบครัว พวกเราช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยไม่ใช่แค่ผู้ชายที่มีหน้าที่รับผิดชอบ
ตัวอย่าง: ส่งเสริมให้ลูกชายของคุณแสดงความต้องการและยอมรับความช่วยเหลือโดยไม่อาย
5. ให้เด็กผู้ชายเป็นตัวของตัวเอง
❌ เลิกพูด: "นั่นไม่ใช่สำหรับเด็กผู้ชาย"
✅ ลองพูด: "ทำในสิ่งที่ลูกมีความสุข"
ไม่ว่าพวกเขาจะชอบกีฬา ดนตรี หรือศิลปะ ให้เด็กผู้ชายสำรวจโดยไม่มีข้อจำกัดทางเพศ
ส่งเสริมการแสดงออกทางอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์โดยไม่มีการตัดสิน
ตัวอย่าง: หากลูกชายของคุณต้องการเต้น วาดรูป หรือร้องไห้ระหว่างดูภาพยนตร์เศร้า ปล่อยให้เขาทำ อารมณ์และความคิดสร้างสรรค์ไม่มีเพศ
วิธีเลี้ยงดูลูกสาวให้มั่นใจและเป็นอิสระ
1. สอนว่าคุณค่าของเธอมีมากกว่าแค่รูปลักษณ์ภายนอก
❌ เลิกพูด: "หนูสวยจัง!" (เป็นคำชมเพียงอย่างเดียว)
✅ ลองพูด: "หนูฉลาด เข้มแข็ง และมีความสามารถ"
ชื่นชมความฉลาด ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะการแก้ปัญหาของเธอ ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก
แสดงให้เธอเห็นว่า คุณค่าของเธออยู่ที่ความสามารถ ไม่ใช่การเป็น "คนสวย" เพื่อคนอื่น
ตัวอย่าง: แทนที่จะพูดว่า "วันนี้หนูดูน่ารักจัง" ให้พูดว่า "หนูคิดไอเดียได้ดีมาก—เล่าให้ฟังเพิ่มเติมสิ!"
2. ส่งเสริมภาวะผู้นำและการตัดสินใจ
❌ เลิกพูด: "เด็กผู้หญิงควรอยู่เงียบๆ และไม่ต้องแสดงความคิดเห็น"
✅ ลองพูด: "ความคิดเห็นของหนูมีความสำคัญ"
ให้โอกาสเด็กผู้หญิงได้ เป็นผู้นำ ตัดสินใจ และกล้าเสี่ยง
สอนพวกเธอว่า การแสดงความมั่นใจไม่ใช่ "ชอบออกคำสั่ง"—แต่เป็นภาวะผู้นำ
ตัวอย่าง: หากเด็กต้องการบางสิ่ง ส่งเสริมให้พวกเขากล้าพูดและเจรจาต่อรองแทนที่จะรอการอนุญาต
3. สอนความเป็นอิสระ ไม่ใช่การพึ่งพา
❌ เลิกพูด: "สักวันหนูจะได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดี"
✅ ลองพูด: "หนูสามารถสร้างชีวิตที่ยอดเยี่ยมของตัวเองได้"
เด็กผู้หญิงไม่ควรรู้สึกว่าอนาคตของพวกเธอขึ้นอยู่กับการแต่งงาน หรือการยอมรับจากผู้ชาย
สอนพวกเธอเกี่ยวกับ วิธีสร้างอิสระทางการเงิน ตั้งเป้าหมาย และเดินตามความชอบความหลงใหล
ตัวอย่าง: ส่งเสริมให้เธอฝันให้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพ การเดินทาง การศึกษา โดยไม่ต้องรอแฟนหรือสามีมาเติมเต็ม
4. ท้าทายบทบาททางเพศในบ้าน
❌ เลิกพูด: "ให้พี่ชาย/น้องชายของหนูจัดการเรื่องนั้น"
✅ ลองพูด: "ทุกคนแบ่งปันความรับผิดชอบอย่างเท่าเทียมกัน"
สอนว่าทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงควรทำงานบ้าน ตัดสินใจ และมีความรับผิดชอบ
แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงมีความสามารถในการเป็นผู้นำ การทำงาน และการแก้ปัญหา เท่ากับผู้ชาย
ตัวอย่าง: ให้ลูกสาวของคุณเรียนรู้ทักษะต่างๆ เช่น การซ่อมแซมสิ่งของ การจัดการเงิน และการตัดสินใจที่ยาก
กรณีศึกษา: การเปลี่ยนแปลงความเป็นพ่อ
โอม คุณพ่อวัย 40 ปี ถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อว่าผู้ชายต้องเป็นผู้นำและผู้หญิงต้องเป็นผู้ตาม พ่อของเขาครอบงำการตัดสินใจทุกอย่างในบ้าน ไม่สนใจความคิดเห็นของแม่ และบอกโอมเสมอว่า "ผู้ชายตัวจริงต้องเป็นผู้นำ"
เมื่อโอมมีลูกของตัวเอง ลูกชายและลูกสาว เขาพบว่าตัวเองกำลังทำซ้ำรูปแบบเหล่านี้ เขาส่งเสริมให้ลูกชายเข้มแข็งและเป็นอิสระ แต่ปกป้องลูกสาวมากเกินไปและไม่ใส่ใจต่อความต้องการ โดยเชื่อว่าเธอต้องการคำแนะนำมากกว่าภาวะผู้นำ
วันหนึ่ง ลูกสาวของโอมถามเขาว่า "คุณพ่อคะ ทำไมคุณพ่ออนุญาตให้น้องชายทำอะไรได้เยอะแยะเลย แต่กับหนู คุณพ่อต้องคอยบอกหนูว่าต้องทำอะไร?" คำถามนั้นทำให้โอมฉุกคิดและเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง
โอมหวนกลับไปคิดถึงการเลี้ยงดูของตัวเอง และตระหนักว่าเขาได้กีดกันลูกสาวโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเป็นต้นมา เขาพยายามที่จะเปิดโอกาสให้ทั้งลูกชายและลูกสาวอย่างเท่าเทียมกัน เขาส่งเสริมให้ลูกชายแสดงอารมณ์และสอนลูกสาวว่าเธอเข้มแข็งและมีความสามารถเท่ากับผู้ชาย
หลายปีต่อมา ลูกๆ ของโอมเติบโตขึ้นอย่างมั่นใจ มีสุขภาพจิตที่ดี และเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม
จากบทความที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าทั้งพ่อและแม่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดมุมมองของลูกเกี่ยวกับความเป็นชาย ความเป็นหญิง และความเท่าเทียม หากคุณต้องการเลี้ยงดูลูกให้มีสุขภาพจิตดี รู้จักตนเอง และเห็นคุณค่าในตัวเอง พร้อมกับเคารพผู้อื่น พ่อแม่จำเป็นต้องรู้เท่าทันตัวเอง และคอยระวังทัศนคติแบบ Toxic Masculinity
ผู้เขียนขอเอาใจช่วยและส่งกำลังใจถึงพ่อแม่ในยุคนี้ทุกๆ คนค่ะ