โรคซึมเศร้าในผู้สูงวัย: เทคนิคในการดูแลจิตใจผู้สูงวัยในบ้าน
- Chanthama Changsalak
- Jul 23
- 2 min read
Updated: Jul 29

จากข้อมูลเชิงสถิติของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ณ เดือนมิถุนายน 2568 พบว่า ประเทศไทยมีผู้สูงวัย 21.38% และจากการสำรวจทางจิตวิทยา เมื่อปี พ.ศ. 2564 พบว่า ผู้สูงวัยสูงถึง 20.50% เป็นโรคซึมเศร้าในผู้สูงวัย ทั้งนี้ จากผลการวิจัยทางจิตวิทยา พบว่า มีความชุกของโรคซึมเศร้าในผู้สูงวัย เพิ่มขึ้นทุกปี จาก 2.28% (พ.ศ. 2558) เป็น 2.60% (พ.ศ. 2559) และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็น 3.49% ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังพบว่า โรคซึมเศร้าในผู้สูงวัยมีปัจจัยเสี่ยงมากจากความกังวลเรื่องเงินทอง เช่น เงินไม่พอใช้ เกษียณแล้วรายได้ลดลง เป็นต้น รวมไปถึงสภาพร่างกายที่เสื่อมถอยและอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ต่างก็ส่งผลให้ผู้สูงวัยเกิดความรู้สึกวิตกกังวลในการใช้ชีวิต รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าลดลง ทำให้ขาดการเข้าสังคมไปด้วย ส่งผลให้เกิดความเหงา ยิ่งถ้าหากผู้สูงวัยมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับคนในครอบครัวจะยิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคซึมเศร้าในผู้สูงวัยได้มากขึ้น
โดยผู้สูงวัยที่เป็นโรคซึมเศร้านั้น มีอัตราการฆ่าตัวตายและทำร้ายตัวเองสูงมากที่สุดในบรรดาผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในทุกช่วงวัย โดยพบอัตราเฉลี่ยประมาณ 10.39 ต่อแสนคนเลยทีเดียว อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อตัวผู้สูงวัยที่เป็นโรคซึมเศร้าในทุกด้าน ดังนี้
ผลกระทบด้านอารมณ์
ผู้สูงวัยที่เป็นโรคซึมเศร้า จะมีอารมณ์หดหู่ เศร้า เบื่อหน่าย ไม่มีความสุข ไม่เพลิดเพลินกับการทำกิจกรรมเดิม ๆ ที่เคยสนุก นอกจากนี้ยังเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว ไร้คุณค่า หรือมีความคิดว่าตัวเองเป็นภาระ เพราะร่างกายไม่แข็งแรง ไม่คล่องตัวเหมือนสมัยก่อน
จึงส่งผลให้ผู้สูงวัยมักจะเก็บกดอารมณ์เศร้าเอาไว้ภายใน จนเกิดความรู้สึกทางลบต่อตนเอง มีความคิดทางลบต่อตนเอง จนอาจทำร้ายตนเองได้
ผลกระทบด้านร่างกาย
โดยปกติเมื่อเข้าสู่ช่วงสูงวัย วงจรการหลับก็ดูจะไม่ปกติ เช่น ตื่นตี 3 นอนตอนบ่าย แต่สำหรับผู้สูงวัยที่เป็นโรคซึมเศร้าจะยิ่งมีปัญหาการนอนมากขึ้นไปอีก เช่น นอนไม่หลับข้ามวันข้ามคืน หรือนอนหลับทั้งวันทั้งคืน
รวมถึงมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด หรืออยากอาหารตลอดเวลา จนน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ส่งผลให้ผู้สูงวัยที่เป็นโรคซึมเศร้าจะมีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงเท่าคนวัยเดียวกันที่มีสุขภาพจิตดี
ผลกระทบด้านความคิด
โรคซึมเศร้าในผู้สูงวัย ส่งผลให้ผู้สูงวัยมีอาการเหมือนผู้ป่วยสมองเสื่อม คือ สับสน ความจำสั้น ความจำระยะยาวก็เลื่อนลาง ส่งผลให้ผู้สูงวัยคิดช้าลง พูดน้อยลง ทำสิ่งต่าง ๆ ได้ช้าลง จนหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมเพราะไม่มั่นใจในตัวเอง
ด้วยผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้สูงวัยเกิดอารมณ์และพฤติกรรมทางลบ
ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้ดูแลผู้สูงวัยที่เป็นโรคซึมเศร้า ทั้งมีความเครียด มีความวิตกกังวล ผู้ดูแลหลายท่านก็มีอารมณ์ซึมเศร้า หมดกำลังใจ เหนื่อยหน่ายกับการใช้ชีวิต
ด้วยความห่วงใยและต้องการที่จะเบาบางภาระอันหนักอึ้งของผู้ดูแลผู้สูงวัยที่เป็นโรคซึมเศร้า จึงขอแนะนำเทคนิคทางจิตวิทยาที่สามารถใช้ดูแลผู้สูงวัยที่เป็นโรคซึมเศร้าในบ้านให้มีสุขภาพจิตดีขึ้น และผู้ดูแลเองก็รักษาสุขภาพจิตของตนให้เข้มแข็งไปด้วยได้ ดังนี้ค่ะ
เปลี่ยนคิดลบให้เป็นคิดบวก
ในการเยียวยาโรคซึมเศร้าในผู้สูงวัย ผู้ดูแลต้องช่วยผู้สูงวัยในการเปลี่ยนความคิดทางลบให้เป็นความคิดทางบวก เช่น หากผู้สูงวัยมีความคิดว่า “ฉันมันไร้ค่า” ให้ลองถามกลับอย่างอ่อนโยนว่า “เพราะอะไรถึงคิดแบบนั้น?” หรือ “ถ้าหนูคิดว่าหนูไม่มีค่า แม่จะบอกหนูว่ายังไง?” การตั้งคำถามเช่นนี้เป็นการชวนเขาเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อตนเอง
ซึ่งสามารถช่วยเปลี่ยนความคิดเชิงลบให้เป็นเชิงบวกได้ และควรสนับสนุนให้ผู้สูงวัยเขียนบันทึกประจำวัน เพื่อสำรวจ และทบทวนความคิดและความรู้สึกของตนเองในแต่ละวัน นอกจากนี้แล้วผู้ดูแลต้องหมั่นชวนผู้สูงวัยย้อนระลึกถึงคุณค่าในอดีต โดยการชวนพูดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ผู้สูงวัยภูมิใจ เพื่อย้ำว่า “ชีวิตของเขามีคุณค่า และยังคงมีคุณค่าอยู่”
ทำความเข้าใจเรื่องโรคซึมเศร้าไปด้วยกัน
การให้ข้อมูล ความรู้ และทักษะที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าแก่ผู้สูงวัยและผู้ดูแล เป็นการสร้างความเข้าใจต่ออาการ สาเหตุ วิธีใช้ชีวิตอยู่กับโรคซึมเศร้า และแนวทางการรักษา โดยเริ่มต้นเราต้องสร้างความเข้าใจร่วมกันก่อนว่า “โรคซึมเศร้าไม่ใช่ความอ่อนแอ” แต่เป็น “ความเจ็บป่วยทางใจ” ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้
ซึ่งการทำให้ผู้สูงวัยรู้ว่า “โรคซึมเศร้าเป็นโรค ไม่ใช่ความผิด” จะสามารถช่วยลดการโทษตัวเอง รวมถึงใช้สื่อที่เข้าใจง่าย เช่น รูปภาพ คลิปสั้น หนังสือเล่มเล็กเพื่ออธิบายว่าสมองที่เป็นซึมเศร้าทำงานอย่างไร และเราจะดูแลตนเองให้ดีขึ้นได้อย่างไร รวมถึงให้ผู้สูงวัยได้มีส่วนร่วมในการวางแผนดูแลตนเอง
ซึ่งจะสามารถช่วยให้ผู้สูงวัยเพิ่มคุณค่าและพลังใจให้แก่ตนเอง และอย่าลืมย้ำกับผู้สูงวัยอยู่เสมอว่า “เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”
กระตุ้นความทรงจำเชิงบวก
เมื่อผู้สูงวัยได้นึกถึงอดีตที่มีความหมาย เช่น ความสำเร็จ ความรัก หรือช่วงเวลาสุขใจในวัยรุ่น จะช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานในส่วนที่เกี่ยวกับอารมณ์บวก เกิดความรู้สึก “มีคุณค่า” “มีตัวตน” และ “ไม่หลงลืมว่าเราเคยเป็นใคร” โดยผู้ดูแลจะต้องคอยถามคำถามที่กระตุ้นความทรงจำเชิงบวกให้แก่ผู้สูงวัย เช่น “ตอนแม่เจอพ่อครั้งแรกเป็นอย่างไร?” “ตอนพ่อทำงาน พ่อภูมิใจเรื่องไหนมากที่สุด?”
ซึ่งคำถามเหล่านี้จะช่วยให้ผู้สูงวัยเชื่อมโยงกับอัตลักษณ์และความสำเร็จในอดีต หรือจะใช้ตัวช่วยเป็น รูปภาพ คลิปวีดีโอ เพลงเก่า ๆ ที่ผู้สูงวัยชื่นชอบ ก็สามารถช่วยกระตุ้นความทรงจำได้เช่นกัน หรือจะพาผู้สูงวัยไปทำกิจกรรมย้อนวัยที่เขาเคยชื่นชอบ เช่น ฟังคอนเสิร์ตของศิลปินรุ่นเก่าที่เขาชอบ พาไปดูภาพยนตร์เก่าย้อนวันวาน พาไปเที่ยวในที่ที่เคยไปตอนเด็ก ๆ ก็สามารถกระตุ้นความทรงจำเชิงบวกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่งเสริมให้ผู้สูงวัยทำกิจกรรมที่ชอบ
ผู้สูงวัยที่เป็นโรคซึมเศร้ามักมีแนวโน้มหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เคยชอบ ไม่อยากทำอะไรเลย ซึ่งยิ่งทำให้อารมณ์ทางลบกัดกร่อนความรู้สึกมากขึ้น ดังนั้นการกระตุ้นให้เขากลับมาทำกิจกรรมที่ให้ความสุข จะเป็นการช่วยฟื้นฟูอารมณ์ได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืน
แต่ทั้งนี้ ต้องให้ผู้สูงวัยเต็มใจที่จะเข้าร่วมกิจกรรมนั้น เพราะถ้ายิ่งบังคับจะยิ่งหลีกหนี แล้วผู้สูงวัยจะพาตัวเองดำดิ่งในความเศร้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นผู้ดูแลต้องใช้การเสริมแรงทางบวกเป็นการกระตุ้นให้ผู้สูงวัยเข้าร่วมกิจกรรม เช่น “แม่ตัดเสื้อตัวนี้สวยมากเลยนะ แม่ลองกลับมาตัดชุดอีกดีไหม?” หรือ “พ่อดูมีความสุขมากเลยนะเวลาปลูกต้นไม้” และผู้ดูแลหรือผู้ใกล้ชิดควรเข้าไปมีส่วนร่วม เพื่อให้ผู้สูงวัยรู้สึกว่าเขาไม่โดดเดี่ยว และเพลิดเพลินกับการทำกิจกรรมเหล่านั้น
ในบทความจิตวิทยานี้ หวังว่าจะสามารถช่วยสนับสนุนให้คุณสามารถดูแลผู้สูงวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่เหนืออื่นใด ผู้ดูแลเองก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะคะ เพราะยิ่งผู้ดูแลมีสุขภาพจิตดีมากเท่าไร่ ก็จะยิ่งมีความเข้มแข็งทางจิตใจ และมีพลังกาย มีพลังใจในการดูแลผู้สูงวัยได้อย่างมีความสุขทั้งผู้ดูแลและผู้รับการดูแลค่ะ
หากคุณเป็นหนึ่งคนที่อยากเข้าใจเรื่องซึมเศร้ามากขึ้น ทางเรา iSTRONG มีคอร์สออนไลน์ “ซึมเศร้า เราเข้าใจ” ที่ออกแบบโดยจิตแพทย์และนักจิตวิทยา เพื่อปูพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าอย่างรอบด้าน ทั้งในเชิงทฤษฎีและการปฏิบัติจริง
ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ตั้งแต่การรู้เท่าทันอาการซึมเศร้า ความแตกต่างระหว่างภาวะเครียด ภาวะหมดไฟ และโรคซึมเศร้า ไปจนถึงวิธีการรับมือ ให้คำปรึกษา และดูแลใจทั้งตนเอง คนรอบข้าง และคนที่คุณรัก
ไม่ว่าคุณจะกำลังเผชิญกับความเศร้า หรืออยู่ข้างๆ ใครบางคนที่กำลังเผชิญอยู่… คอร์สนี้จะเป็นแสงสว่างเล็กๆ ที่ช่วยให้เราเข้าใจกันมากขึ้น และดูแลใจกันได้ดีขึ้น
คลิกรายละเอียดคอร์ส “ซึมเศร้า เราเข้าใจ”
iSTRONG Mental Health
ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร
บริการของเรา
สำหรับบุคคลทั่วไป
บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa
คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS
สำหรับองค์กร
EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8
โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong
บทความแนะนำ
อ้างอิง 1. Lee, M., Ryoo, J. H., Chung, M., Anderson, J. G., Rose, K., & Williams, I. C. (2020). Effective interventions for depressive symptoms among caregivers of people with dementia: A systematic review and metaanalysis. Dementia, 19(7), 2368–2398. https://doi.org/10.1177/1471301218822640
2. Lertkratoke, S., Amnatsatsue, K., Kerdmongkol, P., & Nanthamongkolchai, S. (2021). Effectiveness of Thai integrated care program for older adults with dementia in the community: A quasi-experimental study. Pacific Rim International Journal of Nursing Research, 25(4), 510–524.
3. นันทิดา ทองอ้ม. (2565).
การศึกษาความชุกของภาวะซึมเศร้าและปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุที่มารับบริการแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์. วารสารการแพทย์ โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์, 37(2), 44–54. https://he02.tci-thaijo.org/index.php/MJSSBH/article/view/258902
4. พรสุดา เสริฐจันทึก. (2567).
โรคซึมเศร้าของคนเฒ่าคนแก่: ยิ่งสูงวัย ยิ่งเศร้า ยิ่งเข้าถึงยาก. The101.world. https://www.the101.world/depression-in-older-people/
5. สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย. (2568, มิถุนายน).
สถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร (รายเดือน). https://stat.bora.dopa.go.th/stat/statnew/statMONTH/statmonth/#/mainpage
ประวัติผู้เขียน
จันทมา ช่างสลัก บัณฑิตจิตวิทยาคลินิกจากรั้ว มช. และมหาบัณฑิตจาก NIDA ปัจจุบันเป็นคุณแม่ลูก 1 ผู้เป็นทาสแมว ที่มุ่งมั่นจะพัฒนาการเขียนบทความจิตวิทยาให้โดนใจผู้อ่าน และสร้างแรงกระเพื่อมทางสังคม ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกบนโลกใบนี้
