5 วิธีการสื่อสารเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ในทีม
- iStrong team
- Jul 16
- 4 min read
Updated: 5 days ago

“ทำไมทีมไม่ค่อยมีไอเดียใหม่"
"ทำไมถามหาไอเดียอะไรก็ได้แต่คำตอบเดิมๆ”
เคยไหมที่คุณจัดประชุมเพื่อ Brainstorm ความคิดกัน แต่บรรยากาศกลับเงียบเหมือนห้องสอบสวน คนพูดก็มีอยู่ไม่กี่คน ไอเดียวนกลับมาตามกรอบเดิม ๆ และบางคนก็เอาแต่นั่งก้มหน้า ไม่กล้าเสนออะไรใหม่ ๆ เพราะกลัวโดนมองว่าเพ้อฝัน หรือไม่น่าจะเวิร์ค สุดท้ายการประชุมที่ควรจะได้ความคิดสร้างสรรค์ กลับจบด้วยความรู้สึกเสียเวลา
ความคิดสร้างสรรค์จำเป็นมากขึ้นในยุคที่ทุกอย่างหมุนเร็ว การแข่งขันที่รุนแรง รวมทั้งทรัพยากรเริ่มถูกบีบให้จำกัด ทั้งงบประมาณและจำนวนคนทำงาน ไม่ใช่เฉพาะแต่ในองค์กร SMEs หรือ Startup ขนาดเล็ก ยังรวมไปถึงองค์กรขนาดใหญ่ที่เริ่มมีความท้าทายเรื่องงบประมาณ หลายทีมต่างต้องการวิธีการแก้ปัญหาหรือแนวทางใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์ นอกกรอบ เพื่อทะลุขีดข้อจำกัดที่มีอยู่
แต่ไอเดียก็มักวนอยู่ที่เดิม ไม่มีใครคิดไอเดียใหม่ ๆ ได้ นี่คือ Pain Point ของผู้นำและ HR จำนวนมาก ที่อยากให้ทีมคิดสร้างสรรค์ แต่ไม่รู้จะปลดล็อกบรรยากาศอย่างไร
บทความนี้จะชวนคุณมาสำรวจวิธีที่จะช่วยกระตุ้นให้คนทำงานเกิดความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่วิธีการสื่อสารและการนำของหัวหน้าทีม โดยจะใช้หลักการของแนวคิดการสื่อสารแบบ Transactional Analysis (TA) โดยเฉพาะการดึงพลังของ Free Child ออกมาในช่วงการพูดคุย
โดยธรรมชาติ ความคิดสร้างสรรค์จะไม่เกิดในสภาพแวดล้อมที่กดดันหรือกลัวผิดพลาด บทความนี้เรามาดูกันว่า Free Child คืออะไร และผู้นำสามารถใช้เทคนิคอะไรปลุก Free Child ของทีมให้ทำงานได้เต็มที่
Free Child คืออะไร และสำคัญอย่างไรต่อความคิดสร้างสรรค์
ในทฤษฎี TA (Transactional Analysis) ของ Eric Berne แต่ละคนมี Ego State หรือ สภาวะทางจิตใจ อยู่ 3 แบบ คือ
Parent (พ่อแม่) → ดูแล/ตัดสิน ควบคุม แบ่งย่อยออกเป็น Critical Parent พ่อแม่ที่เข้มงวด ดุดัน และ Nurturing Parent พ่อแม่ที่ใจดี
Adult (ผู้ใหญ่) → เหตุผล วิเคราะห์
Child (เด็ก) → ความรู้สึกและสัญชาตญาณ แบ่งย่อยออกเป็น Free Child เด็กที่มีพลังสร้างสรรค์ และชอบทำตามใจตัวเอง และ Adapted Child เด็กที่อยู่ในโอวาท เชื่อฟังคำสั่ง
Free Child เป็นส่วนหนึ่งของ Child Ego State ที่แสดงออกถึงความสนุก ความเป็นธรรมชาติ ความกล้าลอง ไม่กลัวผิดพลาด และความคิดสร้างสรรค์
ตรงกันข้ามกับ Adapted Child ที่จะระวังตัว ทำตามกรอบ กลัวผิด Free Child คือพลังที่เราเคยมีตอนเด็ก เวลาวาดรูปไม่ต้องกลัวไม่สวย หรือถามคำถามแปลก ๆ แบบไม่กลัวใครหัวเราะ
ในการทำงาน Free Child คือแหล่งกำเนิดไอเดียใหม่ ๆ
คนกล้าลองสิ่งที่ยังไม่เคยทำ
กล้าพูดสิ่งที่ยังไม่มีคำตอบตายตัว
ไม่กลัวถูกมองว่าแปลก
แต่ในที่ประชุมส่วนใหญ่ Free Child มักถูกกดทับด้วยบรรยากาศแบบ Critical Parent เช่นจากคำพูดที่ว่า “นี่ไม่เวิร์กนะ” “อันนี้ใช้งบเยอะไป” ฯลฯ ทำให้ทีมกลับไปอยู่โหมด Adapted Child คือเงียบและเชื่อฟังแบบจำใจ
ดังนั้น ถ้าอยากให้ทีมคิดสร้างสรรค์ ต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ Free Child ได้ออกมามีชีวิตอีกครั้ง
5 วิธีกระตุ้น Free Child ในทีม ระหว่างประชุมและช่วงอื่น ๆ
1) แยกช่วง “สร้างสรรค์” ออกจาก “วิเคราะห์” อย่างเด็ดขาด
การ Brainstorm ต้องเป็นช่วงที่ ไม่มีคำว่า “แต่…”
อธิบายให้ทีมเข้าใจว่า “ตอนนี้เราอยู่โหมดไอเดีย ไม่มีผิดถูก ใครพูดอะไรก็ได้”
ถ้าทีมรู้ว่ายังไม่ถูกตัดสิน Free Child จะกล้าออกมา
ตัวอย่างประโยคเปิดประชุม
“15 นาทีแรกเราจะโยนไอเดียกันแบบอิสระ ไม่มีการวิจารณ์ใด ๆ นะครับ/คะ ทุกไอเดียมีค่า มาคิดแบบเด็ก ๆ กันหน่อย”
2) ใช้กิจกรรม Icebreaker ปลุกความสนุกและความเป็นธรรมชาติ
เริ่มประชุมด้วยเกมสั้น ๆ เช่น ตอบคำถามแปลก ๆ ภายใน 5 วินาที
ให้ทีมวาดภาพสิ่งที่คิดถึงเมื่อพูดคำว่า “นวัตกรรม” แล้วแชร์กัน
การปรับจากโหมด งานจริงจัง เป็น งานเล่นสนุก ชั่วคราว จะช่วยเปิด Free Child
ตัวอย่าง Icebreaker
“ถ้าโปรเจกต์นี้เป็นสัตว์หนึ่งชนิด มันจะเป็นอะไร ทำไม?”
“ให้แต่ละคนเขียนไอเดียเพี้ยนที่สุดที่อยากเห็นในอนาคต 1 ข้อ”
3) ตั้งคำถามแบบ Free Child เพื่อกระตุ้นการคิดนอกกรอบ
แทนที่จะถาม “ทำยังไงให้ยอดขายเพิ่ม 20%” ซึ่งเป็นคำถามแบบ Adult
ลองถาม “ถ้าเราไม่มีงบเลย แต่ต้องทำให้ลูกค้าประทับใจ จะทำยังไง?”
หรือ “ถ้าผลิตภัณฑ์เราต้องขายให้เด็ก 5 ขวบ มันจะหน้าตาแบบไหน?”
คำถามลักษณะนี้เปิดโอกาสให้ทีมใช้จินตนาการ และไม่ต้องติดกับข้อจำกัดเดิม ๆ
4) เปลี่ยนพื้นที่ประชุมให้ไม่เป็นทางการเกินไป
Free Child ต้องการบรรยากาศผ่อนคลาย ไม่ใช่ห้องประชุมที่เป็นทางการ
ลองจัด Brainstorm ที่ Co-working space คาเฟ่ สวนสาธารณะ หรือแม้แต่พื้นที่สำหรับปิกนิกเล็ก ๆ
ถ้าจำเป็นต้องอยู่ในออฟฟิศ ลองใช้กระดาษโพสต์อิทสีสัน ใช้เพลงเบา ๆ เพื่อปรับโทน
เหตุผลที่ต้องเปลี่ยนบรรยากาศ เพราะสิ่งแวดล้อมส่งผลต่อโหมดจิตใจโดยตรง บรรยากาศยิ่งไม่เป็นทางการ Free Child ยิ่งกล้าแสดงออกมา
5) ชื่นชมและต่อยอดทุกไอเดีย แทนที่จะรีบปฏิเสธ
Free Child จะถอยทันทีถ้าไอเดียถูกตัดบทว่า “เป็นไปไม่ได้”
ให้ใช้เทคนิค “Yes, and…” แทน “Yes, but…”
เช่น
“อันนี้น่าสนใจนะ แล้วถ้าเราเพิ่ม X เข้าไปล่ะ?”
“ไอเดียนี้ดูบ้า ๆ ดี ชอบ! ใครมีอะไรต่อยอดอีก?”
จำไว้ว่า Brainstorm คือการสร้าง ไม่ใช่การตัดสิน แล้วค่อยให้การวิเคราะห์เป็นอีกเฟสหนึ่ง
กรณีศึกษา: เมื่อหัวหน้าเปลี่ยนวิธีประชุม
คุณส้มจี๊ด (HR Manager) เจอปัญหาว่าทุกครั้งที่จัด Brainstorm ทีมจะเงียบ มีแต่คนเดิม ๆ ที่พูด และส่วนใหญ่เป็นไอเดียแบบเดิม ๆ
หลังจากเรียนรู้เรื่อง Free Child ใน TA คุณส้มจี๊ดเริ่มเปลี่ยนรูปแบบประชุมดังนี้
เริ่มด้วย Icebreaker สนุกๆ 5 นาที เช่น ให้ทุกคนเขียน “คำที่บ้า ๆ เกี่ยวกับโปรเจกต์นี้” แล้วอ่านออกเสียง
แบ่งประชุมเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรก ให้ปล่อยไอเดียแบบไม่มีกรอบ เฟสสองค่อยคัดกรอง
ใช้คำถามแบบ Free Child เช่น “ถ้าเราเป็นบริษัท Startup สุดเพี้ยนจะทำอะไรดี?”
จัดประชุมนอกออฟฟิศสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้ทีมรู้สึกอิสระมากขึ้น
ผลที่เกิดขึ้นใน 1 เดือน
✅ จำนวนไอเดียใหม่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
✅ ทีมที่เคยเงียบเริ่มมีส่วนร่วมมากขึ้น แถมพูดคุยกันในบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา
✅ โปรเจกต์นวัตกรรมเล็ก ๆ เริ่มเกิดจากการต่อยอดไอเดียบ้าบิ่น
คุณส้มจี๊ดบอกว่า “ฉันไม่คิดเลยว่าการเปลี่ยนวิธีพูดกับทีม จะเปลี่ยนพลังงานได้ขนาดนี้”
Free Child ไม่ได้แค่สร้างความสนุก แต่มันสร้างความเป็นไปได้ใหม่
ผู้นำและ HR ที่เข้าใจ TA จะรู้ว่า การประชุมที่เต็มไปด้วย Critical Parent และ Adult อย่างเดียว อาจได้งานที่ ‘ถูกต้อง’ แต่จะไม่ได้สิ่งที่ ‘ใหม่’
Free Child คือแหล่งพลังงานที่เราทุกคนมีอยู่แล้ว เพียงแต่ถูกฝังไว้ใต้ความกลัวและกรอบวัฒนธรรมองค์กร ถ้าคุณช่วยทีมปลดล็อก Free Child ได้ คุณจะเห็นว่า
ไอเดียใหม่ ๆ จะผุดขึ้นมาแบบไม่จำกัด
ทีมจะรู้สึกสนุกและมีส่วนร่วมมากขึ้น
บรรยากาศการทำงานจะเปลี่ยนจากกลัวผิด เป็นกล้าลอง
เพราะสุดท้าย นวัตกรรมไม่ได้เกิดจากคนที่เล่นปลอดภัย แต่มันเกิดจากคนที่กล้าคิดแบบเด็กอีกครั้ง
ต่อไปนี้ ลองถามตัวเองว่า…
ในการประชุมครั้งล่าสุด คุณให้พื้นที่ Free Child กับทีมบ้างหรือไม่?
คุณใช้เวลาเท่าไหร่ในการ “สร้าง” เทียบกับ “วิจารณ์”?
Checklist 7 นาทีแรกของการประชุม ที่ปลุกความคิดสร้างสรรค์ของทีม
นี่คือ Checklist 7 นาทีแรกของการประชุม ที่ปลุก Free Child ของทีมให้ตื่นขึ้นแน่นอน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้นำทีม หรือ HR ที่ต้องการให้การประชุม Brainstorm มีพลังสร้างสรรค์ และเปิดบรรยากาศให้ทีมกล้าพูดมากขึ้น
7 นาทีแรกของการประชุม ต้องทำอะไรบ้าง
นาทีที่ 0-1 : ปรับโหมดบรรยากาศ (Reset Mindset)
เปิดประชุมด้วยน้ำเสียงและท่าทีผ่อนคลาย ไม่ใช่โหมดเครียด
ย้ำกติกาสำคัญ “วันนี้ช่วงแรกคือพื้นที่ปลอดภัย ไม่มีผิดถูก เราจะโยนไอเดียได้เต็มที่ก่อนแล้วค่อยคัดเลือกทีหลัง”
ตั้งโทนว่า “สนุกก่อนจริงจังทีหลัง”
ประโยคที่ใช้ เช่น “ก่อนอื่น วันนี้อยากให้ทุกคนปลดล็อกความคิดแบบเด็ก ๆ กันก่อนนะ ไม่มีคำว่าแปลก ไม่มีคำว่าผิด ทุกไอเดียมีค่า”
นาทีที่ 1-3 : Icebreaker ปลุกพลัง Free Child
เลือกกิจกรรมที่เบา สนุก และไม่ใช้เวลามาก เช่น
ให้ทุกคนตอบคำถามขำๆ ภายใน 5 วินาที เช่น “ถ้าประชุมนี้เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง มันจะเป็นอะไร?”
หรือให้แต่ละคนเขียน 1 คำฮาๆ ที่นึกถึงเมื่อพูดถึงโปรเจกต์นี้
เป้าหมายเพื่อให้ทีมหลุดจากโหมดจริงจัง และรู้สึกกล้าพูดอะไรก็ได้
นาทีที่ 3-5 : ตั้งคำถามปลายเปิดที่จินตนาการได้
ใช้คำถามที่ไม่มีกรอบตายตัว เช่น
“ถ้าเรามีงบไม่จำกัด จะทำอะไรได้บ้าง?”
“ถ้าโปรเจกต์นี้ต้องขายให้เด็ก 6 ขวบ เราจะออกแบบยังไง?”
“ถ้าเราต้องทำให้ลูกค้าประทับใจสุดขีดใน 1 วัน คุณจะเลือกทำอะไร?”
เคล็ดลับ: ใช้คำถามแบบ What if…? (จะเป็นยังไงถ้า…) เพื่อพาทีมออกจากความคิดเดิม ๆ
นาทีที่ 5-7 : ให้ทุกคนโยนไอเดียแบบรวดเร็ว (No Filter)
ให้ทีมพูดหรือเขียน Post-it ไอเดียอะไรก็ได้ โดยห้ามคิดเยอะ
ใช้เทคนิค “1 ไอเดียต่อ 10 วินาที” เพื่อไม่ให้สมองกลับไปโหมดวิเคราะห์
ผู้นำต้องตอบกลับแบบ “Yes, and…” ไม่ใช่ “Yes, but…”
ทำไมต้อง 7 นาที เพราะ 7 นาทีแรกคือการกำหนดอารมณ์ set the scene ของการประชุม
ถ้าเริ่มแบบซีเรียสเกินไป ทีมจะถอยเข้ากรอบ Adapted Child (เงียบ ระวังตัว)
ถ้าเริ่มแบบผ่อนคลาย สนุก และปลอดภัย Free Child จะโผล่ออกมาและทำให้บรรยากาศสร้างสรรค์ต่อเนื่อง
Checklist แบบย่อให้จำง่าย
ย้ำกติกา Safe Space – ไม่มีผิดถูก
Icebreaker สั้น ๆ สนุก ๆ – ทำให้ทีมหลุดกรอบ
ตั้งคำถามแบบ What if…? – เปิดจินตนาการ
โยนไอเดียรวดเร็ว – No Filter, No Judgment
ตอบแบบ Yes, and… – ต่อเติม ไม่ปิดกั้น
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Icebreaker สำหรับกระตุ้น Free Child Ego State ในทีมได้อีกด้วย
10 Icebreaker ที่ปลุก Free Child ในทีมได้ทันที
นี่คือ ตัวอย่าง Icebreaker 10 แบบ ที่ใช้ได้กับทุกทีม เพื่อปลุก Free Child ให้โผล่ออกมาตั้งแต่นาทีแรกของการประชุม ไม่ว่าจะเป็นทีมสายซีเรียส หรือทีมครีเอทีฟ ก็ปรับใช้ได้ง่าย และใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที
1) ตอบคำถามแปลกๆ ภายใน 5 วินาที
ให้แต่ละคนตอบแบบไม่ต้องคิดนาน เช่น
“ถ้าโปรเจกต์นี้เป็นสัตว์หนึ่งชนิด มันจะเป็นอะไร?”
“ถ้าคุณต้องอธิบายโปรเจกต์นี้ให้เด็ก 5 ขวบเข้าใจ จะพูดยังไง?”
“ถ้าประชุมนี้เป็นหนัง จะเป็นหนังแนวไหน?”
เป้าหมาย: ปลดล็อกความคิดให้ทีมไม่ต้องคิดถูกผิด
2) One Word Mood
ให้แต่ละคนบอก “1 คำ” ที่อธิบายความรู้สึกของเขาตอนนี้
เช่น “ตื่นเต้น”, “ง่วง”, “สงสัย”, “อยากกินกาแฟ”
เป้าหมาย: ทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย เห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน
3) วาดภาพใน 30 วินาที
แจก Post-it ให้แต่ละคนวาดภาพอะไรก็ได้ที่นึกถึงหัวข้อประชุม
ตัวอย่าง: “วาดสิ่งที่คุณคิดถึงเมื่อพูดถึงคำว่า ‘นวัตกรรม’”
จากนั้นให้แชร์แบบขำๆ ไม่ต้องจริงจัง
เป้าหมาย: ดึง Free Child ผ่านการวาด ซึ่งปลดล็อกความคิดสร้างสรรค์
4) 2 Truths 1 Lie (เวอร์ชันทำงาน)
ให้แต่ละคนพูดเกี่ยวกับงาน/ตัวเอง 2 เรื่องจริง 1 เรื่องหลอก
ทีมต้องเดาว่าเรื่องไหนโกหก
เป้าหมาย: ทำให้ทีมสนุก หัวเราะ และรู้จักกันมากขึ้น
5) If I Were…
ให้แต่ละคนเติมประโยค
“ถ้าฉันเป็นตัวละครในการ์ตูน ฉันจะเป็น…”
“ถ้าฉันเป็น Gadget สุดล้ำ ฉันจะเป็น…”
เป้าหมาย: ให้ทุกคนได้ใช้จินตนาการแบบเด็ก
6) Brainstorm ไอเดียแหวกแนวใน 1 นาที
ให้ทุกคนคิด “ไอเดียที่แหวกแนวที่สุด” เกี่ยวกับงานที่กำลังทำ
เช่น “ทำยังไงให้ลูกค้าจำแบรนด์เราได้แบบไม่เหมือนใคร?” ทีมต้องเสนอวิธีที่ไม่เคยทำมาก่อน แม้จะดูเป็นไปไม่ได้
เป้าหมาย: ปลดล็อกความกลัวผิด ให้กล้าพูดสิ่งที่หลุดกรอบ
7) Show & Tell เวอร์ชันด่วน
ให้แต่ละคนหยิบของบนโต๊ะ/ในกระเป๋าแล้วบอกว่า
“สิ่งนี้บอกอะไรเกี่ยวกับฉัน?”
เป้าหมาย: สร้างการเชื่อมโยงและความสนุกแบบง่าย ๆ
8) Emoji Mood
ให้แต่ละคนเลือกอีโมจิ 1 ตัวแทนความรู้สึกตอนนี้ แล้วแชร์สั้น ๆ
เช่น “วันนี้ฉันคือ 🐢 เพราะรู้สึกช้า ๆ ชิล ๆ”
เป้าหมาย: เบาอารมณ์ทีม และให้ทุกคนพูดง่าย ๆ แบบไม่ต้องคิดเยอะ
9) ตั้งชื่อเล่นให้โปรเจกต์
ให้ทุกคนเสนอ “ชื่อเล่นตลก ๆ” ให้โปรเจกต์ที่ทำอยู่
เช่น โปรเจกต์พัฒนาระบบอาจถูกตั้งชื่อ “ยานอวกาศ” หรือ “หมูสามชั้น” ก็ได้
เป้าหมาย: ให้ทีมมองโปรเจกต์จากมุมมองใหม่ที่สนุกกว่าเดิม
10) What If… Challenge
ตั้งคำถามสมมติแบบหลุดโลกให้ทีมตอบ
“จะเป็นยังไงถ้าเราต้องเปิดตัวโปรเจกต์นี้บนดาวอังคาร?”
“ถ้าต้องสื่อสารให้คนเข้าใจภายใน 10 วินาที จะทำยังไง?”
เป้าหมาย: บังคับสมองให้คิดนอกกรอบทันที
เคล็ดลับทำให้ Icebreaker เวิร์ก
ใช้เวลา ไม่เกิน 3-5 นาที สั้น สนุก กระชับ
ผู้นำต้องเล่นเองก่อน ถ้าคุณจริงจังเกินไป ทีมจะไม่กล้า
ไม่ต้องหาคำตอบถูกผิด เน้นความขำ ความคิดสร้างสรรค์ และการเชื่อมโยง
เพียง 1 Icebreaker เล็กๆ ก่อนประชุม จะเปลี่ยนโหมดทีมจาก Adapted Child ระวังตัว เงียบ ไปสู่ Free Child สนุก กล้าพูด คิดสร้างสรรค์ ได้ทันที
การสื่อสารโดยใช้ Transactional Analysis (TA) มีประโยชน์ในหลากหลายด้าน สำหรับคนทำงาน หัวหน้างาน และผู้บริหาร ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการสื่อสารและการโน้มน้าวใจของคุณมีประสิทธิผล ตรงตามวัตถุประสงค์ที่คุณต้องการมากขึ้น หากคุณต้องการเรียนรู้ TA เพิ่มเติม คุณสามารถเข้าร่วมหลักสูตร The Art of Influence ที่สอนโดยนักจิตวิทยาที่มากประสบการณ์ได้ โดยดูรายละเอียดได้จากที่นี่
iSTRONG Mental Health
ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร
บริการของเรา
สำหรับบุคคลทั่วไป
บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa
คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS
สำหรับองค์กร
EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8
โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong