ทำไมการให้คำปรึกษาถึงล้มเหลว: เมื่อคำแนะนำของคุณอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับเขาเสมอไป

คุณเคยพยายามช่วยเพื่อนที่กำลังทุกข์ใจ แต่กลับรู้สึกว่าคำพูดของคุณไม่ได้ช่วยอะไรเลยไหม หรือแย่กว่านั้น พวกเขากลับหยุด เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น รู้สึกหงุดหงิด หรือแม้กระทั่งรู้สึกไม่พอใจ
คุณคิดว่าคุณกำลังให้คำปรึกษาหรือคำแนะนำที่ดี แต่พวกเขากลับดูไม่อิน
ความจริงก็คือ คนส่วนใหญ่เวลาที่มีความทุกข์ทางใจไม่ได้ต้องการทางออกในทันที—พวกเขาต้องการรู้สึกว่ามีคนรับฟังก่อน คนที่หวังดีหลายคนล้มเหลวในการให้คำปรึกษาหรือช่วยเหลือผู้อื่น เพราะรีบร้อนให้ทางออก โดยคิดว่าการให้คำแนะนำเท่ากับการช่วยเหลือ ซึ่งข้ามขั้นตอนที่สำคัญที่สุดไป นั่นคือ การรับฟังเพื่อให้เข้าใจอย่างแท้จริง
บทความนี้เราจะมาดูกันว่าทำไมวิธีการแบบนี้ถึงมักล้มเหลว และการให้คำปรึกษาที่แท้จริงเป็นอย่างไร ถ้าคุณอยากเป็นเพื่อนที่ดีขึ้น เป็นผู้นำที่ดีขึ้น หรือแม้แต่เป็นที่ปรึกษาที่ดีขึ้น การเข้าใจพลังของการรับฟังอย่างเข้าใจสามารถเปลี่ยนวิธีที่คุณช่วยเหลือผู้อื่นได้
ข้อผิดพลาด: การรีบให้ทางออกเร็วเกินไป
ลองจินตนาการว่ามีคนกำลังจมน้ำในที่ลึก แทนที่จะโยนห่วงยางช่วยชีวิตให้ คุณกลับตะโกนสั่งจากบนฝั่ง: "ว่ายน้ำให้แรงขึ้นสิ!" หรือ "ขยับแขนแบบนี้!"
นั่นคือวิธีที่คนส่วนใหญ่ให้คำแนะนำ พวกเขาเห็นคนที่กำลังมีความทุกข์ทางอารมณ์และรีบตอบกลับไปว่า
"ทำไมไม่เลิกกับเขาไปเลยล่ะ?"
"ถ้างานทำให้คุณไม่มีความสุข ก็ลาออกสิ"
"ลองนั่งสมาธิดูสิ ช่วยได้แน่นอน"
แม้ว่าคำแนะนำเหล่านี้อาจจะมีเหตุผล แต่มันกลับ ละเลยอารมณ์และความรู้สึกของคนที่เขากำลังทุกข์ใจ
เมื่อใครสักคนกำลังจมดิ่งอยู่กับอารมณ์ จิตใจพวกเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึก พวกเขาไม่ได้ต้องการเหตุผลก่อน แต่ต้องการความเข้าใจ การมองข้ามความรู้สึกของพวกเขาและกระโดดเข้าสู่การแก้ปัญหาทันที คุณกำลังทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่มีใครรับฟัง ไม่ได้รับการยอมรับ และติดอยู่ในความทุกข์มากขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
ทำไมการให้คำแนะนำโดยไม่รับฟังอย่างเข้าใจถึงล้มเหลว
คนเราต้องรู้สึกว่าได้รับความเข้าใจก่อนจึงจะคิดบางอย่างได้ นักประสาทวิทยาชี้ให้เห็นว่า เมื่อคนเราอยู่ในภาวะทุกข์ใจ ศูนย์ควบคุมอารมณ์ในสมองที่เรียกว่าอะมิกดาลาจะทำงาน ทำให้พวกเขายากที่จะประมวลผลเหตุผลหรือทางออกในทันที
ก่อนที่พวกเขาจะลงมือทำอะไรได้ พวกเขาต้อง รู้สึกปลอดภัยและได้รับการรับฟัง เมื่อคุณรับฟังอย่างลึกซึ้ง—โดยไม่ขัดจังหวะ ไม่ตัดสิน หรือพยายามแก้ไข—จะช่วยให้ระบบประสาทของพวกเขาสงบลง เมื่อนั้นพวกเขาจึงจะเริ่มมองเห็นทางออกด้วยตัวเอง
ผู้ที่กำลังทุกข์มักมองคำแนะนำมักว่าเป็นการตัดสิน ไม่ใช่การช่วยเหลือ เมื่อคุณให้คำแนะนำเร็วเกินไป อีกฝ่ายอาจจะรู้สึกเหมือนคุณกำลังบอกว่า
"คุณไม่มีความสามารถในการจัดการปัญหาด้วยตัวเอง"
"คุณแก้ปัญหาผิดวิธี"
"เรื่องแค่นี้เอง คุณควรจะรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไร"
แม้ว่าคำแนะนำของคุณจะมาจากความหวังดี แต่มันอาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกด้อยค่า ต่อต้าน หรือไว้วางใจลดลง แทนที่จะช่วย กลับทำให้พวกเขาหูดับ ปิดกั้นตัวเองไม่รับคำแนะนำจากคุณอีกต่อไป อย่างดีก็อาจรักษามารยาท ฟังให้จบ พยักหน้ารับ ขอบคุณ แล้วเดินจากไป
การให้ทางออกแบบรวดเร็วมองข้ามความต้องการทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งกว่า
เวลาที่มีความทุกข์ใจ คนเรามักพูดถึงปัญหาไม่ใช่เพราะต้องการคำตอบทันที แต่เพราะต้องการจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง
ตัวอย่างเช่น ถ้าใครสักคนบอกว่า "ฉันเบื่องานจัง" แล้วคุณตอบกลับไปทันทีว่า "งั้นก็ลาออกสิ" นั่นคือคุณกำลังมองข้ามความอึดอัดใจที่ลึกกว่านั้น บางทีพวกเขาอาจรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กลัว หรือกังวลเกี่ยวกับอนาคต พวกเขายังไม่ต้องการทางออก แต่ต้องการพื้นที่ให้ "สำรวจความรู้สึก" ก่อน
การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดจากภายในของเขาเอง ไม่ใช่จากคำแนะนำภายนอก
คนเราแทบจะไม่ทำตามคำแนะนำที่ไม่ได้มาจากตัวเอง ทางออกที่ได้ผลที่สุดคือสิ่งที่พวกเขาค้นพบด้วยตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ถูกยื่นให้
ถ้าคุณรับฟังอย่างลึกซึ้งและสะท้อนอารมณ์กลับไป พวกเขามีแนวโน้มที่จะเกิดความเข้าใจด้วยตัวเอง เกิด AHA! moment ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
กับดักของการให้คำแนะนำจากประสบการณ์ของตัวเอง หนึ่งในความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดเมื่อช่วยเหลือผู้อื่นคือการคิดว่า ประสบการณ์ส่วนตัวของเราคือคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน
เป็นเรื่องที่พบเห็นกันบ่อยที่หลายคนชอบพูดว่า "ฉันเคยเจอแบบนี้มาก่อน และนี่คือสิ่งที่ได้ผลกับฉัน ..." แต่แค่เพราะอะไรบางอย่างได้ผลกับคุณ ไม่ได้หมายความว่าวิธีนั้นจะเป็นทางออกที่เหมาะกับพวกเขา หรือหลายคนก็มักจะใช้คำว่า "ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะ ...." แล้วก็ใช้เวลาเล่าประสบการณ์และมุมมองของตัวเองแทนที่จะฟังคนที่กำลังทุกข์กับปัญหาของเขาอีกซะอย่างงั้น
ตัวอย่างเพิ่มเติม
คุณอาจจะพูดว่า "ตอนที่ฉันอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ ฉันแค่เดินจากมา คุณก็ควรทำแบบเดียวกัน" แต่อีกฝ่ายอาจกำลังเผชิญกับการพึ่งพาทางการเงิน มีลูก หรือมีเงื่อนไขในชีวิตบางอย่างที่ทำให้การจากไปยากกว่านั้น
คุณอาจจะพูดว่า "ตอนที่ฉันถูกบีบให้ออกจากงาน ฉันแค่เริ่มธุรกิจของตัวเอง" แต่อีกฝ่ายอาจไม่มีทรัพยากรหรือความมั่นใจพอที่จะทำแบบนั้นในตอนนี้
ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) หมายถึงการตระหนักว่าสถานการณ์ อารมณ์ และทางเลือกของพวกเขาอาจแตกต่างจากของคุณโดยสิ้นเชิง แทนที่จะคิดว่าหนทางของคุณคือสิ่งที่ถูกต้อง ลองฟัง พวกเขา ว่ารู้สึกว่าอะไรจะได้ผลดีที่สุดสำหรับพวกเขา
การให้คำปรึกษาที่ช่วยได้จริงเป็นอย่างไร
การให้คำปรึกษาที่แท้จริงหรือการเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ใช่เรื่องของการให้คำตอบ แต่เป็นเรื่องของการจูงมือค่อย ๆ พาเดินไปด้วยกัน ให้อีกฝ่ายค้นพบความชัดเจนด้วยตัวเอง
นี่คือวิธีที่คุณสามารถช่วยเหลือคนที่กำลังทุกข์ใจได้อย่างมีประสิทธิภาพในการให้คำปรึกษา
"ฟัง" โดยไม่ขัดจังหวะหรือพยายามแก้ไข
ก่อนจะให้คำแนะนำใดๆ มุ่งเน้นไปที่การ เข้าใจอารมณ์ ของพวกเขา ให้พื้นที่พวกเขาในการแสดงออกอย่างเต็มที่ โดยอาจใช้ประโยคเหล่านี้เพื่อกระตุ้นให้เขาบอกเล่ามากขึ้น
"ฟังดูเป็นเรื่องยากจริงๆ เล่าให้ฟังเพิ่มเติมหน่อยสิ"
"ขยายความตรงนี้เพิ่มเติมได้ไหม"
"มันเป็นเรื่องปกติที่คุณจะรู้สึกแบบนี้"
สะท้อนอารมณ์ของพวกเขากลับไป
แทนที่จะรีบแก้ปัญหา สะท้อนสิ่งที่พวกเขากำลังรู้สึกกลับไป วิธีนี้ช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับการรับฟังและมักนำไปสู่การเข้าใจใหม่ๆ
ตัวอย่างเช่น:
พวกเขา: "ตอนนี้รายได้ลดลง แต่รายจ่ายกลับเพิ่มขึ้น ฉันไม่รู้จะทำยังไงเลย"
คุณ: "ฟังดูเหมือนคุณกำลังรู้สึกกังวลกับภาระทางการเงินของตัวเอง"
การสะท้อนแบบง่ายๆ นี้ช่วยให้พวกเขาเข้าใจอารมณ์ตัวเองชัดขึ้นและเปิดโอกาสให้สำรวจตัวเองลึกซึ้งขึ้น เมื่อคุณทำแบบนี้ พวกเขาจะรู้สึกว่าได้รับการรับฟัง เข้าใจ ยอมรับ แล้วพวกเขาจะค่อยๆ เปิดใจที่จะเปิดเผยมากขึ้นเรื่อยๆ
ถามคำถามที่เหมาะสมแทนการให้ทางออก
แทนที่จะรีบให้คำแนะนำ ให้ถามคำถามปลายเปิดที่ช่วยให้พวกเขาคิดด้วยตัวเอง (ไม่ใช่คำถามที่คุณอยากรู้เป็นการส่วนตัว)
"คุณคิดว่าอะไรคือความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้"
"คุณได้พิจารณาทางเลือกอะไรไปแล้วบ้าง"
"อะไรจะทำให้คุณรู้สึกสบายใจขึ้นในสถานการณ์นี้"
นี่เป็นการเปลี่ยนจุดสนใจจาก คุณ เป็นผู้แก้ปัญหา ไปเป็น พวกเขา ที่ค้นพบทางออกด้วยตัวเอง
เปิดพื้นที่ให้อารมณ์ของพวกเขาอย่างเต็มที่โดยไม่เร่งรีบ
บางครั้ง คนเราแค่ต้องการเวลาในการจัดการกับความรู้สึก ไม่จำเป็นต้องพยายามเติมคำพูดหรือทางออกในทุกช่วงเงียบ แค่พูดง่ายๆ ว่า "ฉันอยู่ตรงนี้นะ" อาจมีพลังมากกว่าคำแนะนำใดๆ
เคารพการตัดสินใจของพวกเขา แม้จะไม่ใช่สิ่งที่คุณจะเลือก
การรับฟังที่แท้จริงหมายถึงการเคารพการตัดสินใจของพวกเขา—แม้ว่าพวกเขาจะไม่ทำตามคำแนะนำของคุณ
แทนที่จะพูดว่า "ฉันคิดว่าคุณควรทำแบบอื่นมากกว่านะ"
ลองพูดว่า
"ฉันเชื่อว่าคุณจะหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองเจอ"
"ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจยังไง ฉันก็เคารพในการตัดสินใจนั้น" วิธีนี้ช่วยให้พวกเขารู้สึกเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง แทนที่จะต้องพึ่งพาการยอมรับจากภายนอก
ถ้าคุณต้องการช่วยเหลือผู้อื่นจริงๆ หยุดคิดว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ต้องให้คำตอบที่เจ๋งๆ แต่ควรเป็น กระจก ที่สะท้อนอารมณ์และความคิดของพวกเขากลับไป
เมื่อมีปัญหาทางใจ คนเราไม่ได้ต้องการทางออกแบบรวดเร็ว พวกเขาต้องการรู้สึกว่าได้รับการรับฟัง เข้าใจ และได้รับพลังในการค้นหาหนทางของตัวเอง
ดังนั้น ครั้งต่อไปเมื่อมีคนมาเล่าความทุกข์ให้คุณฟัง ให้หยุดสักครู่ก่อนที่จะรีบให้ทางออกให้ รับฟังอย่างเข้าใจ สะท้อนอารมณ์ ถามคำถามที่ทรงพลัง และเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะค้นพบคำตอบและความเข้มแข็งด้วยตัวเอง
นั่นคือแก่นแท้ของการให้คำปรึกษา—และเป็นของขวัญที่ทรงพลังที่สุดที่คุณจะมอบให้ได้
การให้คำปรึกษาเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งที่มีรายละเอียดมากมาย และเป้าหมายในการให้คำปรึกษาใครสักคนนั้นมีหลายระดับ หากคุณมองเห็นว่าทักษะนี้จำเป็นสำหรับชีวิตของคุณหรือช่วยสนับสนุนอาชีพหน้าที่การงานของคุณ
คุณสามารถเรียนรู้และฝึกปฏิบัติอย่างใกล้ชิดกับผู้เชี่ยวชาญโดยตรง จากหลักสูตรนักให้คำปรึกษาระดับ Fundamental Counseling โดย iSTRONG Mental Health ที่สอนและนำกระบวนการฝึกโดยจิตแพทย์ หลักสูตรเข้มข้น กระชับ เน้นลงมือฝึกปฎิบัติทักษะ และนอกจากเรียนรู้ทักษะนี้เพื่อช่วยเหลือคนอื่นได้แล้ว คุณยังสามารถใช้ในการแก้ทุกข์ให้ตัวเองได้อีกด้วย
iSTRONG Mental Health
ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร
บริการของเรา
สำหรับบุคคลทั่วไป
บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa
คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS
สำหรับองค์กร
EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8
โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong