6 วิธีก้าวข้ามความรู้สึกผิดและอับอายเมื่อลูกวัยรุ่นเป็นโรคซึมเศร้า
- นิลุบล สุขวณิช
- 4 days ago
- 1 min read

โดยทั่วไปแล้วพ่อแม่ทุกคนก็อยากจะเป็นพ่อแม่ที่ดีและอยากเห็นลูกมีความสุข แต่ความจริงของโลกใบนี้ก็คือมันไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบและเราไม่สามารถควบคุมให้ทุกอย่างเป็นไปดั่งใจ ซึ่งในบางครั้งสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้นแต่มันก็เกิดขึ้นรวมถึงการที่ลูกวัยรุ่นเป็นโรคซึมเศร้า
และเมื่อมันเกิดขึ้นก็มักจะทำให้พ่อแม่หลายคนรู้สึกผิดและอับอายซึ่งส่งผลให้พ่อแม่หลายคนที่มีลูกวัยรุ่นเป็นโรคซึมเศร้าเกิดความทุกข์ทรมานใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในบทความนี้ ผู้เขียนจึงอยากชวนให้พ่อแม่ที่มีลูกเป็นโรคซึมเศร้าก้าวข้ามความรู้สึกผิดและอับอายเพื่อให้ตัวเองมีพลังมากพอที่จะให้ความช่วยเหลือลูกวัยรุ่นในบทบาทของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ดังนี้
เติมความรู้ให้กับตัวเองในด้านพัฒนาการของวัยรุ่นและโรคซึมเศร้า
แม้ว่าโรคซึมเศร้าจะอยู่ในกระแสและมีคนพูดถึงกันเยอะ แต่ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคซึมเศร้านั้นค่อนข้างมีความซับซ้อนและสับสน เช่น “มันเกี่ยวกับสารเคมีในสมอง” แต่ในความเป็นจริงแล้วโรคซึมเศร้าไม่ได้ตรงไปตรงมาเหมือนการป่วยเพราะได้รับเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย
ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าแต่ละรายมีปัจจัยการเกิดโรคที่เฉพาะตัวและหลายรายก็ไม่ได้มาจากปัจจัยด้านเดียวแต่ผสมผสานระหว่างปัจจัยด้านร่างกาย-จิตใจ-สังคม และเมื่อมันเกิดขึ้นกับคนที่กำลังอยู่ในวัยเปลี่ยนผ่านจากเด็กไปสู่วัยที่ก้ำกึ่งระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ มีความผันแปรทางฮอร์โมนสูง และอยู่ในวัยที่มีงานประจำวัยเป็น “การค้นหาอัตลักษณ์ของตนเอง”
ซึ่งต้องอาศัยทั้งปัจจัยและภายนอกในการช่วยค้นหา วัยนี้จึงใส่ใจกับความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นอย่างมาก และยิ่งในโลกที่มี Social Media เข้ามามันก็ยิ่งทำให้เข้าถึงความคิดเห็นของผู้อื่นได้อย่างง่ายดายเป็นจำนวนมากมายมหาศาลซึ่งมันส่งผลต่อสภาพจิตใจของวัยรุ่นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้ามากขึ้น การเติมความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของวัยรุ่นและโรคซึมเศร้าจึงมีความจำเป็นต่อการเป็นผู้ดูแลวัยรุ่นที่เป็นโรคซึมเศร้า เพราะมันจะช่วยให้คุณสามารถดูแลพวกเขาด้วยความเข้าใจ
คุณไม่ได้เดินอยู่คนเดียวบนเส้นทางนี้
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี ค.ศ. 2024 ได้ระบุว่า
มี 14% ของประชากรอายุ 10-19 ปีทั่วโลกที่เผชิญกับปัญหาสุขภาพจิต โดยมี 1.5% ของประชากรอายุ 10-14 ปี และ 3.5% ของประชากรอายุ 15-19 ปีที่มีอาการของโรคซึมเศร้า นอกจากนั้น ยังพบว่ามี 4.4% ของประชากรอายุ 10-14 ปี และ 5.5% ของประชากรอายุ 15-19 ปีที่มีอาการของโรควิตกกังวล
ทั้งนี้ โรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวลจะมีจุดร่วมกันคือมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างรวดเร็วและคาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ และอาจเพราะอาการของทั้งสองโรคนี้มีความคล้ายคลึงกับธรรมชาติของวัยรุ่นจึงทำให้พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่สามารถจับสัญญาณได้ว่าลูกวัยรุ่นมีอาการของโรคซึมเศร้าได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และมักจะเริ่มสังเกตได้ในตอนที่อาการไปสู่ระดับที่ค่อนข้างจะรุนแรงแล้วเพราะลูกมีพฤติกรรมอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
เช่น จากเด็กเรียนดีกลายเป็นสอบตกทุกวิชา จากเด็กที่มีเพื่อนเยอะกลายเป็นแยกตัวออกจากเพื่อน ๆ เริ่มมีการทำร้ายตัวเองหรือใช้สารเสพติด ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้มักจะทำให้พ่อแม่หลายคนเกิดการโทษตัวเองและอับอายเพราะรู้สึกว่าตัวเองเลี้ยงลูกได้ไม่ดีเท่าคนอื่น แต่หากคุณได้ลองเข้าร่วมกับเครือข่ายผู้ปกครองที่มีลูกวัยรุ่นเป็นโรคซึมเศร้าคุณก็จะพบว่าคุณไม่ได้เดินอยู่คนเดียวบนเส้นทางนี้
ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกผิดและอับอาย
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่คุณจะรู้สึกผิดและอับอายไม่ว่าจะจากเรื่องใดก็ตาม แต่ความรู้สึกผิดและอับอายนั้นเป็นเหมือนเหรียญสองด้านที่ในด้านหนึ่งคุณสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ก็คือใช้มันเป็นแรงขับเคลื่อนในการแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น
เช่น ตัดสินใจปรึกษาจิตแพทย์/นักจิตวิทยา ตั้งเป้าหมายว่าจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองให้ดีต่ออาการของลูกมากขึ้น และตั้งใจว่าแม้ลูกจะหายจากโรคซึมเศร้าก็จะยังคงเป็นพ่อแม่ที่มีพฤติกรรมส่งเสริมพฤติกรรมอารมณ์ของลูกต่อไปเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกกลับไปมีอาการซ้ำ (relapse) รวมถึงใช้มันเป็นเชื้อไฟให้คุณหันมาดูแลตนเองเพราะคนที่มีความรู้สึกผิดและอับอายอย่างรุนแรงมักจะมีประสบการณ์ในอดีตที่ตัวเองก็ต้องการได้รับการเยียวยาด้วยเหมือนกัน
แสวงหาที่พึ่งทางจิตวิญญาณ
ข้อมูลจากวิทยานิพนธ์ของอธิชญา สุขธรรมรัตน์ (2022) หัวข้อ ประสบการณ์ทางจิตใจของสมาชิกในครอบครัวที่ให้การสนับสนุนดูแลผู้ป่วยวัยรุ่นโรคซึมเศร้า ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการแสวงหาที่พึ่งทางจิตวิญญาณของผู้เข้าร่วมการวิจัยว่าเป็นหนึ่งในแนวทางการปรับตัวในบทบาทของผู้ดูแล เช่น ทำกิจกรรมตามความเชื่อทางศาสนาของตนเอง นั่งสมาธิ ปรับความคิดของตนเองโดยใช้หลักศาสนาเข้ามาช่วย
ดูแลตนเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ
“แก้วที่ว่างเปล่าดับกระหายให้ใครไม่ได้” หากคุณเองก็ขาดพลังทั้งทางร่างกายและจิตใจมันก็ยากที่จะไปดูแลลูกวัยรุ่นที่เป็นโรคซึมเศร้า การตำหนิซ้ำเติมและลงโทษตัวเองไม่มีส่วนช่วยใด ๆ ในการทำให้ลูกมีอาการดีขึ้น ในทางกลับกัน การดูแลตนเองทั้งร่างกายและจิตใจจะช่วยให้มีอยู่ในสภาพที่พร้อมต่อการเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามากขึ้น ยกตัวอย่างการดูแลตนเองที่ทำได้ไม่ยากจนเกินไป เช่น
- ใช้เวลาพูดคุยสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนที่คอยให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนทางจิตใจอยู่เสมอ
- เยียวยาจิตใจด้วยสัตว์เลี้ยง
- พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
ฝึกฝนทักษะในการเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
- ศึกษาคำพูดที่ควรหลีกเลี่ยง
- ระวังการใช้คำพูดและแสดงความคิดเห็นเชิงลบที่ทำร้ายจิตใจคนฟัง
- พูดคุยอย่างเปิดใจและรับฟัง
ให้เวลาและอิสระกับลูกมากขึ้น
- ทำความเข้าใจและยอมรับทั้งในส่วนอาการของลูก และในส่วนที่ยอมรับว่าตนเองสามารถสนับสนุนดูแลลูกภายในขอบเขตที่ทำได้ และใช้ชีวิตตามปกติเพื่อไม่ให้ลูกรู้สึกว่าตนเองเป็นภาระของคนรอบข้าง
หากคุณเป็นหนึ่งคนที่อยากเข้าใจเรื่องซึมเศร้ามากขึ้น ทางเรา iSTRONG มีคอร์สออนไลน์ “ซึมเศร้า เราเข้าใจ” ที่ออกแบบโดยจิตแพทย์และนักจิตวิทยา เพื่อปูพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าอย่างรอบด้าน ทั้งในเชิงทฤษฎีและการปฏิบัติจริง
ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ตั้งแต่การรู้เท่าทันอาการซึมเศร้า ความแตกต่างระหว่างภาวะเครียด ภาวะหมดไฟ และโรคซึมเศร้า ไปจนถึงวิธีการรับมือ ให้คำปรึกษา และดูแลใจทั้งตนเอง คนรอบข้าง และคนที่คุณรัก
ไม่ว่าคุณจะกำลังเผชิญกับความเศร้า หรืออยู่ข้างๆ ใครบางคนที่กำลังเผชิญอยู่… คอร์สนี้จะเป็นแสงสว่างเล็กๆ ที่ช่วยให้เราเข้าใจกันมากขึ้น และดูแลใจกันได้ดีขึ้น
คลิกรายละเอียดคอร์ส “ซึมเศร้า เราเข้าใจ”
iSTRONG Mental Health
ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร
บริการของเรา
สำหรับบุคคลทั่วไป
บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa
คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS
สำหรับองค์กร
EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8
โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong
บทความที่เกี่ยวข้อง
อ้างอิง:
World Health Organization (2024).
Mental health of adolescents. Retrieved from
อธิชญา สุขธรรมรัตน์ (2022).
ประสบการณ์ทางจิตใจของสมาชิกในครอบครัวที่ให้การสนับสนุนดูแลผู้ป่วยวัยรุ่นโรคซึมเศร้า Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 6267. Retrieved from https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/6267/
ประวัติผู้เขียน
นิลุบล สุขวณิช (เฟิร์น) เคยมีประสบการณ์ทำงานเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษาในมหาวิทยาลัยและเป็นวิทยากรเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิต/การพัฒนาตนเองให้แก่นักศึกษาเป็นเวลา 11 ปี ปัจจุบันเป็นนักเขียนบทความให้กับ ISTRONG และเป็นทาสแมวคนหนึ่ง
Nilubon Sukawanich (Fern) have had experience working as a counseling psychologist at a university and as a speaker on mental health issues and self-development for students for 11 years. Currently, I am a writer for ISTRONG and a cat slave.