ออฟฟิศเต็มไปด้วยดราม่า? เข้าใจ 6 เทคนิคจิตวิทยาที่จะช่วยให้คุณรอด
- iStrong team
- 5 days ago
- 2 min read

เมื่อดราม่าในออฟฟิศทำให้คุณหมดแรง หลายคนอาจคิดว่า “ทำงานเก่งก็พอแล้ว” แต่ความจริงไม่ใช่เลย เพราะสิ่งที่ทำให้พนักงานรู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่างาน ก็คือ “คน” และ “ดราม่า” ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ลองนึกภาพตามนี้…
คุณเสนอไอเดียในที่ประชุม แต่ไม่มีใครฟัง แถมโดนขัดจังหวะจนพูดไม่จบ
เพื่อนร่วมงานบางคนเงียบใส่ ทำเหมือนไม่มีคุณอยู่ในห้อง ทั้งที่ต้องทำงานร่วมกัน
งานด่วนถูกโยนมาในนาทีสุดท้าย พอส่งไม่ทันก็โดนตำหนิ ทั้งที่คุณไม่ได้เป็นคนผิด
หรือบางครั้ง คุณรู้สึกว่าทำงานไปก็ไม่มีใครเห็นค่า ไม่มีใครชื่นชม แม้คุณจะพยายามแค่ไหนก็ตาม
สิ่งเหล่านี้สะสมไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นความเหนื่อยล้า เบื่อหน่าย และบางครั้งก็ทำให้ “หมดไฟ” แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คุณไม่เก่ง แต่อยู่ที่ปัจจัยภายนอกมากมาย ซึ่งมันคงจะดีมากขึ้นถ้าคุณมี “ทักษะจิตวิทยา” ที่จะรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ได้อย่างมั่นใจ
ใช้ทักษะนักให้คำปรึกษา มาช่วยคุณเอาตัวรอด
ข่าวดีคือ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักจิตวิทยาเพื่อจะอยู่รอดในออฟฟิศ เพราะคุณสามารถเสริม “6 ทักษะหลักของนักให้คำปรึกษา” ที่คุณสามารถนำมาใช้ได้ทันที ทักษะเหล่านี้ไม่ใช่แค่ทำให้คุณคุยกับใครก็ราบรื่นขึ้น แต่ยังช่วยลดดราม่า สร้างบรรยากาศทีมให้ดีขึ้น และทำให้งานเดินหน้าได้จริง
6 ทักษะจิตวิทยาที่ใช้ได้ในทุกการทำงาน
Build Rapport สร้างความสัมพันธ์
ก่อนจะคุยเรื่องงาน อย่าลืมสร้างบรรยากาศเล็ก ๆ ที่ทำให้คู่สนทายอมเปิดใจ เช่น เริ่มจากรอยยิ้ม คำถามสั้น ๆ เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่การทักทายเล็ก ๆ ก็สร้างความรู้สึก “เป็นมิตร” ได้แล้ว เพราะในโลกของการทำงาน ความสัมพันธ์ที่ดีคือสะพานไปสู่ความร่วมมือที่แท้จริง คำนี้ไม่เกินจริงเลยค่ะ
Empathize เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ฟังเพื่อหาช่องโต้แย้ง เวลามีเพื่อนร่วมงานบ่นว่า “ช่วงนี้เหนื่อยมากเลย” แทนที่จะตอบว่า “ฉันก็เหนื่อยเหมือนกัน” ลองพูดว่า “เข้าใจเลย งานช่วงนี้มันหนักจริง ๆ” คำตอบแบบนี้ทำให้เพื่อนร่วมงานรู้สึกว่า “คุณเห็นและเข้าใจเขาจริง ๆ” ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้บรรยากาศลดดราม่าไปได้ครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
Explore สำรวจและระบุปัญหา
บ่อยครั้งมาก ๆ ค่ะที่ดราม่าเกิดเพราะ “คุยกันไม่เคยถึงใจกลางปัญหา” ลองใช้คำถามที่ช่วยเปิดประตูความคิด เช่น “จริง ๆ แล้ว เรื่องนี้ อะไรที่ทำให้คุณกังวลมากที่สุด?” คำถามที่ดีเปรียบเหมือนกุญแจ ที่ทำให้เราเห็นสาเหตุแท้จริงของความขัดแย้ง
Define ทำความเข้าใจประเด็นให้ตรงกัน
หลังจากสำรวจแล้ว ในขั้นตอนนี้เราจะสรุปด้วยคำพูดที่ชัดเจนมากขึ้นค่ะ เช่น “ถ้างั้นปัญหาหลักคือเราสื่อสารกันไม่ทันเวลา ใช่ไหม?” การนิยามปัญหาให้ตรงกันคือสิ่งที่ทำให้ทีมเดินไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่เสียเวลาโต้เถียงกันไปมา
Find Way Out วางแผนแก้ปัญหา
อย่าโยนภาระให้คนใดคนหนึ่ง แต่เราควรหาทางออก “ร่วมกัน” เช่น “ถ้าเราลองปรับวิธีประชุมให้สั้นลง แล้วใช้ group chat ติดตามงาน คุณคิดว่าโอเคไหม” เมื่อทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ดราม่าจะกลายเป็นพลังสร้างสรรค์แทนที่จะเป็นระเบิดเวลา
Reflect ทบทวนและยุติอย่างสร้างสรรค์
หลังเหตุการณ์ดราม่า ผ่านไป อย่าปล่อยให้มันจบแบบค้างคาใจ ลองปิดท้ายด้วยการชวนทบทวน เช่น “วันนี้เราได้เรียนรู้อะไรบ้างที่จะทำให้ทีมแข็งแรงขึ้น” การสะท้อนแบบนี้ช่วยให้ทีมเติบโต และป้องกันไม่ให้ปัญหาเดิมกลับมาอีกครั้ง
ตัวอย่าง Case Study
จากทีมที่เต็มไปด้วยดราม่า สู่ทีมที่ทำงานอย่างราบรื่น
คุณเอ พนักงานเก่ง แต่ชอบถอย คุณเอมักเจอดราม่าการประชุม เธอเลือกที่จะเงียบ ผลคืองานทีมสะดุดอยู่เสมอ วันหนึ่งเธอตัดสินใจลองใช้ Empathize และ Explore แทนที่จะเงียบ
Empathize เธอเริ่มด้วยการฟังเพื่อนร่วมงานอย่างตั้งใจ และสะท้อนว่า “ฉันเข้าใจนะที่คุณกังวลเรื่องเดดไลน์”
Explore จากนั้นถามต่อว่า “จริง ๆ แล้ว อะไรที่ทำให้คุณกดดันที่สุด?”
ประโยคนี้เปลี่ยนบรรยากาศทันที เพื่อนร่วมงานเปิดใจ และทีมก็ร่วมมือหาทางแก้ไข สุดท้ายงานสำเร็จ และความสัมพันธ์ในทีมก็ดีขึ้นอย่างชัดเจน
ฝ่ายปฏิบัติการที่ทะเลาะกันเรื่องงานด่วน
ฝ่ายปฏิบัติการมักเจอปัญหางานเร่งที่ถูกโยนมาแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้เกิดการโต้เถียงระหว่างพนักงาน HR ที่ดูแลทีมนี้จึงชวนทุกคนมาทบทวน (Reflect) หลังเหตุการณ์
Define เริ่มจากการสรุปประเด็นปัญหา ว่า “จริง ๆ แล้วปัญหาคือการสื่อสารงานด่วนไม่ชัดเจน”
Find Way Out จากนั้นทีมช่วยกันหาทางออก เช่น ตั้งกติกาใหม่ว่าทุกงานด่วนต้องแจ้งผ่าน group chat พร้อม timeline
ผลลัพธ์คือทีมรู้สึกว่าได้ร่วมกันแก้ปัญหา ไม่ใช่ถูกบังคับ และดราม่าลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ดราม่าคือความจริงที่หนีไม่พ้น แต่คุณเลือกได้ว่าจะรับมืออย่างไร ดราม่าในออฟฟิศอาจไม่มีวันหมดไป แต่คุณมีสิทธิ์เลือกวิธีตอบสนอง ถ้าคุณยังตอบด้วยอารมณ์ ดราม่าจะวนซ้ำไม่รู้จบ แต่ถ้าคุณเรียนรู้การรับมือและเสริมการใช้ทักษะจิตวิทยาที่ถูกต้องในการ "เข้าใจคน" คุณจะไม่เพียง “เอาตัวรอด” แต่ยังสามารถเปลี่ยนดราม่าให้เป็นโอกาสสร้างความไว้วางใจในทีมได้ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้คุณแตกต่างในโลกการทำงาน
จากการอ่านทฤษฎี สู่การฝึกจริง
ทักษะเหล่านี้เป็นเพียงแค่ภาพตัวอย่างเล็ก ๆ ที่คุณสามารถใช้ได้เอง แต่ถ้าคุณอยากฝึกอย่างจริงจัง จนทักษะเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวคุณ หลักสูตรทักษะจิตวิทยาการให้คำปรึกษา ของ iSTRONG คือคำตอบที่จะช่วยคุณพัฒนาทักษะจิตวิทยาได้จริง ในหลากหลายมิติ
จุดเด่นของหลักสูตรจิตวิทยาการให้คำปรึกษาจาก iSTRONG
คลาสเล็ก จำกัดจำนวน ดูแลใกล้ชิด เพื่อให้ผู้เรียนได้รับทักษะอย่างเต็มที่
เน้นปฎิบัติฝึกจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎี ได้ลองใช้ทักษะทันทีในห้องเรียน เรียนรู้ผ่านการฝึกฝนผ่านการลงมือปฎิบัติจริง
สอนโดยจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้รับความรู้ทักษะ ที่ลึกซึ้งจากผู้เชี่ยวชาญ ที่มีประสบการณ์โดยเฉพาะ นำไปต่อยอดในรูปแบบการทำงาน ความสัมพันธ์ และชีวิตส่วนตัว
ประโยชน์ต่อตัวผู้เรียน
สื่อสารได้มั่นใจขึ้น ลดความขัดแย้งในที่ทำงาน
ได้เครื่องมือจิตวิทยาที่ใช้ได้จริงทั้งกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน และคนรอบข้าง
ลดความเครียด เพราะรู้วิธีจัดการอารมณ์และความสัมพันธ์
ประโยชน์ต่อการทำงานและองค์กร
ลดดราม่าในทีม บรรยากาศทำงานดีขึ้น
เพิ่มประสิทธิภาพงาน เพราะทีมสื่อสารและทำงานร่วมกันได้ลื่นไหล
สร้าง “คนที่มี soft skill” ซึ่งเป็นทุนมนุษย์ที่สำคัญในองค์กรยุคนี้
ประโยชน์ต่อคนรอบข้าง/ครอบครัว
ผู้เรียนสามารถนำทักษะไปใช้ในครอบครัวได้ ลดการทะเลาะและเข้าใจกันมากขึ้น
กลายเป็นคนที่คนรอบข้างอยากพูดคุย เพราะฟังและตอบสนองอย่างเข้าใจ
iSTRONG Mental Health
ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร
บริการของเรา
สำหรับบุคคลทั่วไป
บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa
คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS
สำหรับองค์กร
EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8
โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong