top of page

Drama Triangle หัวหน้ากับลูกน้อง เมื่อเกมจิตวิทยาเริ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัวในที่ทำงาน


iSTRONG Drama Triangle หัวหน้ากับลูกน้อง เมื่อเกมจิตวิทยาเริ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัวในที่ทำงาน

เคยไหม พยายามสื่อสารกับลูกน้องอย่างดีที่สุด แต่ทุกครั้งที่คุยกัน กลับกลายเป็นความเข้าใจผิด? ในบางทีคุณอาจจะแค่ต้องการ “ช่วย” แต่ลูกน้องกลับรู้สึกว่าคุณ “ควบคุม” จนทำให้ลูกน้องอึดอัด หรือในอีกด้านหนึ่ง ลูกน้องอาจรู้สึกว่าถูกตำหนิ ทั้งที่คุณแค่ต้องการให้เขารับผิดชอบงานมากขึ้น ทุกอย่างดูจะผิดเพี้ยนไปหมด


ในหลายองค์กร ความขัดแย้งระหว่างหัวหน้าและลูกน้องไม่ได้เกิดจาก “งาน” แต่เกิดจาก “อารมณ์” และที่สำคัญมันมักจะเกิดขึ้น “โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว”


งานวิจัยพบว่า 69% ของคนทำงานทั่วโลกยอมรับว่า ความเครียดหลักในชีวิตมาจาก “หัวหน้าโดยตรง” มากกว่าภาระงานที่ได้รับเสียอีก และในทางกลับกัน 58% ของหัวหน้าเองก็ยอมรับว่า “ไม่รู้วิธีสื่อสารกับลูกน้องอย่างเข้าใจ”


นี่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Drama Triangle” หรือ “เกมจิตทางอารมณ์” ที่เราทุกคนเผลอเล่นโดยไม่รู้ตัว มันไม่ใช่การเล่นเกมในเชิงเล่ห์เหลี่ยม แต่คือปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่ฝังลึกในจิตใจมนุษย์ เมื่อมันเริ่มต้นขึ้น ทั้งหัวหน้าและลูกน้องต่างก็เหนื่อย... โดยไม่มีใครตั้งใจให้เป็นแบบนั้นเลย


ทฤษฎี Drama Triangle โดย Dr. Stephen Karpman

Stephen เขาเป็นนักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์เชิงอำนาจและเป็นผู้พบว่า “เกมทางอารมณ์” มักเกิดขึ้นจาก 3 บทบาทหลักที่สลับกันไปมา คือ

  • Victim (เหยื่อ) “ฉันโดนอีกแล้ว” รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ ไม่มีทางเลือก

  • Rescuer (ฮีโร่) “ฉันต้องช่วยเขา” พยายามแก้ปัญหาแทนคนอื่น

  • Persecutor (ผู้กดขี่) “เขาต้องรับผิดชอบสิ่งนี้” ใช้อำนาจหรือคำพูดควบคุม

สิ่งที่ทำให้เกมนี้อันตรายคือ “ไม่มีใครรู้ว่ามันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่” แต่มันจะกลายเป็นปัญหาที่เหมือนรากฝึงลึกเลยทีเดียว และทางออกที่ดีทางนึงไม่ใช่การโต้กลับ แต่คือ “การตระหนักรู้ทางอารมณ์” และ “การสื่อสารแบบผู้ใหญ่ (Adult State)”


ซึ่งเชื่อมโยงมาที่แนวคิดจาก Transactional Analysis (TA) ทฤษฎีจิตวิทยาและจิตบำบัดที่พัฒนาโดย เอริก เบิร์น (Eric Berne) จะช่วยให้เราเข้าใจได้ว่า มนุษย์มี 3 สภาวะในการสื่อสาร

  • Parent (พ่อแม่) เหมือนพ่อแม่ ออกคำสั่ง ดูแล ควบคุม

  • Adult (ผู้ใหญ่) ผู้ใหญ่ใช้เหตุผล รับฟัง วิเคราะห์ และตัดสินจากข้อมูล

  • Child (เด็ก) อารมณ์นำ ขี้เล่น อ่อนไหว หรือประชดประชัน

และหัวหน้าที่เก่งจริง ไม่ใช่คนที่ “ใช้อำนาจสั่ง” แต่คือคนที่ “ฟังและเข้าใจจากภาวะผู้ใหญ่”



เราจะหยุดเกมจิตทางอารมณ์ ได้อย่างไร?

  1. สังเกตให้ไวว่าเกมเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ 

    ถ้าคุณรู้สึกว่ากำลังพูดจากอารมณ์ เช่น หงุดหงิด หรือต้องการเอาชนะ แสดงว่าเกมนั้นเริ่มขึ้นแล้ว คุณอาจจะลองหยุดสักนิด อยู่กับตัวเอง สูดลมหายใจสักหนึ่งครั้ง นั่นคือโอกาสเปลี่ยนโหมดจาก “อารมณ์” เป็น “เหตุผล”


  2. พูดจากภาวะผู้ใหญ่ (Adult State)

    รู้จักถาม แทนการกล่าวโทษ เช่น “คุณคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริงของปัญหานี้?” ใช้น้ำเสียงสงบ ไม่ตัดสิน และเปิดโอกาสให้คู่สนทนาได้คิดด้วยตัวเอง จุดสำคัญคือการใช้ "เหตุผล" จริง ๆ ไม่ใช่แฝงด้วย "อารมณ์"


  3. ฟังให้ลึก ฟังอย่างเข้าใจ (Empathic Listening) 

    เรียนรู้ที่จะฟังอย่างเข้าใจ ไม่ใช่ฟังเพื่อเตรียมตัวโต้แย้งอยู่เสมอ สิ่งเหล่านั้นไม่ต่างอะไรกับการไม่ฟัง ซึ่งเทคนิคที่จะใช้คู่กับการฟังอย่างตั้งใจนั้น คือ “การสะท้อนอารมณ์” เช่น หลังเราตั้งใจฟังเขาจนจบจนเข้าใจทุกอย่างเราพูดกลับไปว่า “ดูเหมือนคุณรู้สึกกังวลเรื่องนี้มากนะ” เป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณตั้งใจฟังจริงๆ


  4. ตั้งขอบเขตการช่วยเหลือให้ชัดเจน 

    หัวหน้าที่ดีไม่จำเป็นต้องแก้ปัญหาให้ลูกน้องทุกอย่าง แต่ต้องช่วยให้เขา “มองเห็นทางออกด้วยตัวเอง” ด้วย ซึ่งสิ่งนี้คือการช่วยเหลือโดยคิดถึงทั้งใจเขาใจเรา และเป็นการ "ช่วยเต็มที่เท่าที่เราไหว" เราจะได้สบายใจด้วย เพราะเราเลือกที่จะช่วยเต็มที่แล้ว และอีกฝ่ายก็จะรับรู้ถึงความใส่ใจของเราเช่นกัน


  5. ปิดเกมด้วยการทบทวน (Reflect)

    หลังจบการพูดคุยกัน ลองคิดว่าเราพูดจากบทบาทไหน (Parent / Adult / Child) และคนตรงหน้าใช้บทบาทไหน เพื่อเรียนรู้และพัฒนาในการสื่อสารครั้งต่อไปให้ดีขึ้น


ตัวอย่าง Case Study

Case ที่ 1 : หัวหน้าที่อยากช่วย แต่กลับกลายเป็นคนสั่ง

คุณเก่ง เป็นหัวหน้าทีมการตลาดที่ตั้งใจมาก ทุกครั้งที่ลูกน้องติดปัญหา คุณจะบอกแนวทางแก้ทันที แต่แทนที่ทีมจะรู้สึกซาบซึ้ง พวกเขากลับเริ่ม “ไม่กล้าคิดเอง” และ “เงียบเวลาเสนอความคิดเห็น” จนวันหนึ่งคุณเริ่มรู้สึกเหนื่อย เพราะต้องคิดแทนทั้งทีม


หลังจากได้เรียนรู้เรื่องและเข้าใจ Drama Triangle คุณเก่งพบว่า… คุณตกอยู่ในบทบาท “Rescuer (ฮีโร่)” มาโดยตลอด การช่วยทุกครั้งช่วยมากไปทำให้คนอื่นรู้สึกอ่อนแอ คุณเก่งเลยเริ่มปรับจาก “การให้คำตอบ” เป็น “การตั้งคำถาม” เช่น “น้องมองทางออกไว้ว่าอย่างไรบ้าง?” ผลลัพธ์คือ ทีมเริ่มคิดเองได้มากขึ้น และคุณไม่ต้องแบกทุกอย่างไว้คนเดียวอีกต่อไป


Case ที่ 2 : ลูกน้องที่กลายเป็นเหยื่อของความเข้าใจผิด

มิน เป็นพนักงานฝ่ายบัญชีที่มักถูกหัวหน้าตำหนิเรื่องความผิดพลาดเล็ก ๆ เสมอ เธอเริ่มรู้สึกว่า “หัวหน้าไม่ชอบหน้า” และเริ่มตั้งกำแพงขึ้น เพราะพฤติกรรมที่หัวหน้าทำกับเธอ


เรื่องนี้รู้ถึง HR จนต้องเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย โดย HR ไม่เลือกที่จะตัดสินมินทันที แต่ใช้เทคนิค “Empathic Reflection” ยึดหลักการถาม เข้าใจ และสะท้อนกลับ ทำให้มินเห็นภาพและเริ่มเข้าใจว่าหัวหน้าไม่ได้เกลียด แต่หัวหน้ากลัว “ความผิดพลาดซ้ำในงบรายปี”


เมื่อมินเข้าใจเรื่องนั้น จึงรู้ว่าตัวเองก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้ และจริง ๆ ไม่ได้เป็นเพราะหัวหน้าไม่ชอบหน้า ส่วนทางหัวหน้าเองก็ได้เข้าใจมินมากขึ้นด้วยในมุมที่รู้ว่ามินเองก็พยายามอยู่อย่างเต็มที่ ถึงแม้จะยังมีข้อผิดพลาดอยู่ แต่ก็พร้อมจะพยายามแก้ไขและทำให้ดีขึ้น


บทสนทนาครั้งนี้กับเทคนิคที่ HR ใช้ ไม่ได้เป็นการตอกย้ำว่าใครดีกว่าใครระหว่างหัวหน้ากับมิน แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า การสื่อสารอย่างเข้าใจ ทำให้เห็นทุกอย่างชัดเจน เป็นจุดเริ่มต้นของความเข้าใจอย่างแท้จริง


Case ที่ 3 : ทีมที่ตกอยู่ในเกมดราม่าโดยไม่รู้ตัว

ในบริษัทแห่งหนึ่ง ทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์มักมีปัญหากับฝ่ายขาย เพราะฝ่ายขายมองว่า “ฝ่ายผลิตช้า” ส่วนฝ่ายผลิตบอกว่าฝ่ายขาย "ขายเกินจริง” มากเกินไป ซึ่งในทุก ๆ การประชุมมักจะจบด้วยการโทษกันไปมาระหว่างทีม ทำให้บรรยากาศการทำงานในบริษัทมีแต่แย่ลง


ผู้บริหารและ HR มองดูสถานการณ์นี้ จึงตกลงกันว่าจะหาว่าวิธีมาช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างทีมดีขึ้น เพราะดูจะกลายเป็นเกมการเมืองไปแล้ว โดยได้นำแนวคิด Drama Triangle มาทำ Workshop สั้นๆ ให้ทั้งสองทีม


เมื่อทุกคน Workshop และเข้าใจว่าทุกฝ่ายต่างอยู่ในวงจร “เหยื่อ-ผู้ช่วย-ผู้กล่าวโทษ” พวกเขาเริ่มเข้าใจว่าไม่ได้มีใครผิด ทุกคนทำหน้าที่อย่างเต็มที่และต่างคนต่างปกป้องตัวเอง ปลายทางก็คือเป้าหมายเดียวกัน


หลังจาก Workshop นี้ การสื่อสารระหว่างทีมในองค์กรก็ดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และองค์กรสามารถลดอัตราการลาออกลงกว่า 20% ได้ภายใน 3 เดือน


ในการทำงานคุณอาจไม่สามารถหยุดเกมอารมณ์ของทุกคนได้ทั้งหมด แต่คุณ “เลือกได้” ว่าจะจัดการกับเกมนั้นอย่างไร ถ้าคุณเป็นหัวหน้า หรือ HR ที่ต้องบริหาร “ทั้งงานและคน” หรือแม้กระทั่งเป็นพนักงานที่ต้องทำงาน "ร่วม" กับคนมากมาย การเข้าใจจิตวิทยาในเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งจะช่วยคุณได้


ในหลักสูตร The Art of Influence จาก iSTRONG เพื่อยกระดับการสื่อสารและเข้าใจมนุษย์ในระดับลึก คุณจะได้รู้ทักษะเรื่องนี้นี้เพิ่มเติมอย่างลึกซึ้งกับนักจิตวิทยาที่มากประสบการณ์ รวมทั้งได้ฟังเคสตัวอย่างการใช้จำนวนมาก พร้อมกิจกรรมการฝึกปฏิบัติในคลาสที่เหมาะสำหรับที่ทำงาน ชีวิตประจำวัน ครอบครัว และสถานการณ์ที่หลากหลาย


ประโยชน์ต่อตนเอง

  • เข้าใจอารมณ์ของตัวเองและผู้อื่นได้ดีขึ้น

  • รู้วิธีควบคุมอารมณ์ก่อนจะกลายเป็นปัญหา

  • สื่อสารจากภาวะ “Adult State” ได้อย่างมั่นใจและสงบ


ประโยชน์การทำงาน

  • ฟังอย่างเข้าใจ ลดความขัดแย้งในทีม

  • เสริมความไว้วางใจระหว่างหัวหน้า ลูกน้อง

  • เปลี่ยนวัฒนธรรมการตำหนิ เป็นการพูดคุยที่สร้างสรรค์


ประโยชน์ต่อองค์กร

  • พัฒนา Soft Skills ด้านจิตวิทยาที่ใช้ได้จริงในงาน

  • สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ “เข้าใจกันมากกว่าตัดสินกัน”

  • เพิ่มความร่วมมือและแรงจูงใจภายในทีม

iSTRONG Mental Health

ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร


บริการของเรา

สำหรับบุคคลทั่วไป

  • บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa  

  • คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS 

สำหรับองค์กร

โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong


iSTRONG ผู้ให้บริการด้านสุขภาพจิต Solutions ด้านสุขภาพจิต ให้คำปรึกษาโดยนักจิตวิทยา นักจิตบำบัด นักจิตวิทยาคลินิกที่มีใบรับรอง รวมถึงบทความจิตวิทยา

© 2016-2025 Actualiz Co.,Ltd. All rights reserved.

contact@istrong.co                     Call 02-0268949

  • Facebook Social Icon
  • YouTube Social  Icon
  • Instagram
  • Twitter
bottom of page