เราโตมาแบบไหน มีแนวโน้มใช้แบบนั้นที่งาน เพราะความสัมพันธ์ในครอบครัว คือรากฐานการสื่อสารและทำงาน
- iStrong team
- 13 minutes ago
- 2 min read

ทำไมครอบครัวจึงเป็นโรงเรียนสอนทักษะจิตวิทยาที่สำคัญที่สุดของคนวัยทำงาน เพราะในทุกวันเราทำงานกับผู้คนมากมาย หัวหน้า, ลูกน้อง, เพื่อนร่วมทีม, ลูกค้า แต่หลายครั้งความตึงเครียด ความไม่เข้าใจ และช่องว่างในการสื่อสารกลับไม่ได้เกิดจาก “งาน” อย่างเดียว แท้จริงแล้วมันเริ่มจากบางอย่างที่เราพกมาจากบ้านโดยไม่รู้ตัว
ความสัมพันธ์ในครอบครัวคือ “สนามฝึก” ชุดแรกที่สร้างรูปแบบการสื่อสารของเรา ตั้งแต่เด็กจนโตเราถูกสอน วิธีรัก, วิธีขอความช่วยเหลือ, วิธีเผชิญความขัดแย้ง, ไปจนถึง วิธีปกป้องตัวเอง ผ่านประสบการณ์จากคนที่บ้านทั้งหมด
สิ่งเหล่านี้ เมื่อไม่ได้รับการสำรวจหรือเข้าใจอย่างจริงจัง มักถูกนำมาใช้ในออฟฟิศแบบอัตโนมัติจนทำให้เกิดความเข้าใจผิด ความคาดหวังผิด หรือภาระอารมณ์ที่ส่งผลต่อการทำงานโดยตรง
บทความนี้คือการพาคุณกลับมาเห็นว่าก่อนจะเข้าใจคนในออฟฟิศได้ดี เราต้องเข้าใจ “ภาวะภายในตัวเอง” และ “รูปแบบความสัมพันธ์ในบ้าน” ก่อนเสมอเพราะที่ทำงานคือเวทีที่ทำให้สิ่งที่เราไม่เคยเข้าใจในบ้าน ถูกขยายขึ้นอย่างชัดเจน
ทำไมความสัมพันธ์ในครอบครัว ถึงมีผลต่อการสื่อสารในที่ทำงานมากกว่าที่คิด
ครอบครัวสอน “ภาษาทางจิตใจ” ของเรา
แต่ละครอบครัวมีรูปแบบความสัมพันธ์เฉพาะ เช่น
ครอบครัวที่เงียบ ไม่คุยปัญหา → ลูกโตมาเป็นคนเก็บทุกอย่างไว้คนเดียว
ครอบครัวที่เสียงดัง ทะเลาะบ่อย → โตมาแล้วคิดว่าความขัดแย้ง = การถูกคุกคาม
ครอบครัวที่เข้มงวด → โตมาแล้วกลัวการถูกตำหนิ ไม่เชื่อมั่นในคำพูดตัวเอง
ครอบครัวที่มีความคาดหวังสูง → โตมาแล้วทำงานเก่ง แต่เหนื่อยมากกับความกดดันตัวเอง สิ่งเหล่านี้ “โผล่” ในทีทำงานเสมอ แม้เราจะไม่รู้ตัวก็ตาม
เวลาเครียดที่บ้าน มักแสดงออกในออฟฟิศเสมอ
ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ไม่มีใครวาง “อารมณ์ที่บ้าน” ไว้หน้าออฟฟิศได้จริง เพราะอารมณ์คือระบบเดียวกัน ความรู้สึกที่ยังไม่ถูกจัดการ จะเปลี่ยนเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ
โดนกดดันจากครอบครัว → มาหงุดหงิดใส่ทีม
มีปัญหากับคู่รัก → ไม่มีสมาธิ ประชุมแล้วฟังไม่รู้เรื่อง
ทะเลาะกับพ่อแม่ → ปิดใจ ไม่อยากคุยกับใครทั้งวัน
ต้องแบกรับปัญหาคนในบ้าน → มาทำงานแบบหมดไฟ เพราะ emotional bandwidth ถูกใช้ไปก่อนแล้ว
เรามักลืมว่า “ใจคนมีแค่ถังเดียว”ถังความรู้สึกที่พร่องจากบ้าน…ย่อมส่งผลต่อผลงานและความสัมพันธ์ที่ออฟฟิศ
รูปแบบความสัมพันธ์ในบ้าน หล่อหลอมทักษะการฟังการสื่อสารอย่างไร
ต่อไปนี้คือ pattern ที่พบได้บ่อยในคนวัยทำงานไทย
บ้านที่ให้พื้นที่น้อย → โตมาเป็น “คนไม่กล้าพูด” ในออฟฟิศ
ถ้าที่บ้าน ความเห็นของเด็กไม่ใช่เรื่องสำคัญ คุณจะโตมาเชื่อว่า “ไม่ได้มีค่าพอที่จะพูด”
→ ในออฟฟิศจึงกลายเป็นคนไม่กล้าเสนอความคิดเห็น → ทั้งที่จริง ๆ แล้วคิดได้ดีมาก
บ้านที่คาดหวังสูง → โตมาเป็น “นักแบก” ในที่ทำงาน
เมื่อเด็กต้องพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลาโตมาจะรู้สึกว่าต้องเก่ง ต้องช่วย ต้องแก้ ต้องรับมือทุกอย่าง
→ ทำให้เหนื่อยง่าย หมดไฟเร็ว → ไม่กล้าขอความช่วยเหลือ → และมักเป็นคนที่ทีมเข้าใจผิดว่า “แรงเยอะ ทนไหว” ทั้งที่ไม่จริง
บ้านที่เงียบ → โตมารับมือความขัดแย้งไม่เก่ง
เพราะไม่เคยมีพื้นที่ฝึกพูดความรู้สึกจึงมักเลี่ยงการพูดคุยยาก ๆ
→ ทำให้ปัญหาที่ทำงานยิ่งสะสม → จนกลายเป็นดราม่าใหญ่โดยไม่ตั้งใจ
บ้านที่มีแต่คำสั่ง → โตมาเป็นหัวหน้าที่สื่อสารแบบ “สั่งงาน ไม่ใช้ใจ”
หัวหน้าแบบนี้ไม่ได้ใจร้ายแต่โตมากับ pattern ที่ว่า “ความรัก = ความคาดหวังสูง”
จึงไม่รู้วิธีให้กำลังใจ เพราะไม่เคยได้รับแบบนั้น
แล้วเราจะเริ่มเข้าใจ “ตัวเองที่บ้าน” ได้อย่างไร?
เขียน “แผนที่ความรู้สึก” ของตัวเอง
เขียนสิ่งที่บ้านทำให้คุณรู้สึก เช่น
• เครียด
• กลัว
• กดดัน
• ต้องเก่ง
• ต้องดูแลทุกคน
• ต้องไม่พลาด
นี่คือรากของหลายอย่างในที่ทำงาน
สำรวจ pattern การสื่อสารของบ้าน
บ้านของคุณมีลักษณะแบบไหน?
• เงียบ
• คาดหวังสูง
• พูดตรง
• ระเบิดบ่อย
• ทุกคนเก็บปัญหา
• ต้องเข้มแข็งเสมอ
แค่เห็น คุณก็เริ่มเปลี่ยนได้แล้ว
ตั้งคำถามตัวเองว่า “เราเอาอะไรจากบ้าน มาส่งผลในที่ทำงาน?”
นี่คือจุดเริ่มต้นของ self-awareness ที่แท้จริง เป็นการสำรวจเพื่อค้นหารูปแบบที่เราจดจำมาใช้โดยไม่รู้ตัว
นี่คือเหตุผลที่ทักษะการให้คำปรึกษาสำคัญกับคนทำงานยุคใหม่
ในยุคที่คนทำงานใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งในออฟฟิศ และอีกครึ่งหนึ่งรับมือกับความรู้สึกของคนที่บ้าน ทักษะที่คนต้องการมากที่สุดไม่ใช่แค่ สื่อสารเก่ง แต่คือ เข้าใจความรู้สึกมนุษย์ได้มากพอ จนสามารถ “ช่วยให้คนยืนขึ้นได้อีกครั้ง”
ทักษะการให้คำปรึกษาไม่ใช่ทักษะสำหรับนักจิตวิทยาเท่านั้น แต่มันคือ ทักษะชีวิต ที่ช่วยให้คุณ:
ฟังคนที่บ้านได้ดีขึ้น เข้าใจคนรักลึกขึ้น
ดูแลใจตัวเอง ก่อนที่งานจะทำให้หมดแรง
คุยงานได้ลื่นขึ้น เพราะเห็นความรู้สึกที่ซ่อนอยู่หลังพฤติกรรม
เป็นหัวหน้าที่ลูกน้องไว้ใจ
เป็น HR ที่พนักงานรู้สึก “พึ่งได้”
เป็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้วยแล้วปลอดภัยทางใจ
นี่คือทักษะที่ส่งผลต่อทั้งงานและชีวิตจริงของคุณ
ตัวอย่าง Case Study
Case ที่ 1 : ลูกสาวที่เก่งมาก แต่ไม่เคยมั่นใจว่าตัวเองดีพอ
ก้อย อายุ 27 ปี ทำงานฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลงานดีมากแต่เวลานำเสนอมักสั่น เสียงเบา กลัวผิด เมื่อพูดคุยลึก ๆ พบว่าเธอเติบโตมากับครอบครัวที่ “ชมเมื่อทำได้ดีมาก ๆ เท่านั้น”และเวลาทำพลาด พ่อแม่จะ “มองว่าเป็นเรื่องใหญ่” เสมอ
ผลคือเธอตีค่า Performance ของตัวเองต่ำกว่าความจริง เวลาประชุมจะคิดว่า “อย่าพลาด อย่าพลาด อย่าพลาด” มากกว่าคิดว่า “ฉันอยากเสนอไอเดียดี ๆ” หัวหน้าคิดว่า “ก้อยไม่มั่นใจในงาน”แต่จริงๆ เธอ “ไม่มั่นใจในคุณค่าในตัวเอง” จากประสบการณ์ที่บ้านมากกว่า
Case ที่ 2 : หัวหน้าที่เข้มงวด เพราะโตมากับบ้านที่มีแต่เสียงดัง
ต้น อายุ 35 ปี เป็นหัวหน้าฝ่ายขายลูกน้องหลายคนกลัว ไม่กล้าพูดคุยด้วย แต่แท้จริงแล้วต้นเป็นคนมีน้ำใจมากเขาแค่ “เผลอขึ้นเสียง” เวลางานเครียดอยู่บ่อย ๆ เพราะตอนเด็กความขัดแย้งในบ้านถูกแก้ด้วย “เสียงดังที่สุด”
ต้นจึงเข้าใจผิดว่าสื่อสารให้ได้ผล = ต้อง Assertive แบบแข็งแรง เพราะลูกน้องไม่ได้กลัวงานแต่กลัว “อารมณ์ของหัวหน้า” เมื่อเขาตระหนักว่า Pattern นี้ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นสิ่งที่ได้มาจากบ้านและไม่ใช่สิ่งที่ดีในที่ทำงาน ต้นเริ่มปรับน้ำเสียง ฝึกตั้งคำถาม และเปิดพื้นที่มากขึ้น ทำให้บรรยากาศทีมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
Case ที่ 3 : ภาระจากที่บ้าน ทำให้พนักงานคนหนึ่งหมดไฟโดยไม่รู้ตัว
แอน อายุ 30 ปี มีภาระดูแลแม่ที่ป่วย ทุกเช้าเธอใช้พลังอารมณ์ไปเกือบหมดก่อนมาถึงออฟฟิศ ที่ทำงานเห็นว่าแอน “อารมณ์ไม่คงที่ ชอบเหม่อ” แต่ไม่มีใครรู้ว่าแอนกำลังหมดแรงจากบ้าน ไม่ใช่จากงาน
เมื่อหัวหน้าเริ่มคุยด้วยทักษะการฟังแบบลึกซึ้ง (deep listening) และให้ปรับงานบางส่วนเพื่อเพิ่มพื้นที่พักใจ แอนเริ่มกลับมามีพลังอีกครั้ง นี่คือตัวอย่างชัดเจนว่า เข้าใจคนที่บ้าน → เข้าใจภาระที่เขาแบก → เข้าใจพฤติกรรมในออฟฟิศได้ดีขึ้น
เมื่อเรามองเห็นว่า “พฤติกรรมในออฟฟิศ” ไม่ได้เกิดจากเรื่องงานเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากรากอารมณ์ ความสัมพันธ์ และประสบการณ์ที่บ้าน เราจะเข้าใจทันทีว่าทักษะที่ต้องใช้ในการทำงานยุคนี้คือทักษะที่ลึกกว่าแค่ Communication Skill มันคือทักษะที่ช่วยให้เรามองคนได้เป็นมนุษย์ครบด้านมากขึ้น เห็นความเหนื่อย ความหวังดี ความกดดันที่อีกฝ่ายอาจไม่เคยพูดออกมาเลยสักครั้ง
นี่เองคือเหตุผลที่ทักษะการให้คำปรึกษา (Counseling Skills) กลายเป็นหนึ่งใน “เครื่องมือสำคัญที่สุด” สำหรับคนทำงาน ในยุคที่ความสัมพันธ์ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่เพื่อการบำบัด แต่เพื่อการสื่อสารที่ลึกขึ้น เข้าใจคนได้จริงขึ้น และดูแลใจตัวเองได้ดีขึ้น เพราะถ้าเราไม่เข้าใจตัวเองตั้งแต่ที่บ้าน การทำงานก็จะยิ่งเหนื่อยโดยไม่จำเป็น
และหากคุณอยากพัฒนาทักษะเหล่านี้แบบเป็นระบบ ฝึกจริง เห็นผลจริง หลักสูตรทักษะจิตวิทยาการให้คำปรึกษา จาก iSTRONG ถูกออกแบบมาเพื่อให้คุณเข้าใจทั้งจิตวิทยา การฟังระดับลึก เทคนิคตั้งคำถาม การอ่านภาษากาย การรับมืออารมณ์ และการดูแลความสัมพันธ์ทั้งในบ้านและที่ทำงาน คุณจะได้ “ฝึกทำจริง” ผ่านเคสจริง สถานการณ์จริงทั้งหมดสอนโดยทีมจิตแพทย์และนักจิตวิทยาที่ทำงานกับองค์กรไทยโดยตรง
iSTRONG Mental Health
ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร
บริการของเรา
สำหรับบุคคลทั่วไป
บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa
คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS
สำหรับองค์กร
EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8
โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong
