top of page

เราโตมาแบบไหน มีแนวโน้มใช้แบบนั้นที่งาน เพราะความสัมพันธ์ในครอบครัว คือรากฐานการสื่อสารและทำงาน


iSTRONG เราโตมาแบบไหน มีแนวโน้มใช้แบบนั้นที่งาน เพราะความสัมพันธ์ในครอบครัว คือรากฐานการสื่อสารและทำงาน

ทำไมครอบครัวจึงเป็นโรงเรียนสอนทักษะจิตวิทยาที่สำคัญที่สุดของคนวัยทำงาน เพราะในทุกวันเราทำงานกับผู้คนมากมาย หัวหน้า, ลูกน้อง, เพื่อนร่วมทีม, ลูกค้า แต่หลายครั้งความตึงเครียด ความไม่เข้าใจ และช่องว่างในการสื่อสารกลับไม่ได้เกิดจาก “งาน” อย่างเดียว แท้จริงแล้วมันเริ่มจากบางอย่างที่เราพกมาจากบ้านโดยไม่รู้ตัว


ความสัมพันธ์ในครอบครัวคือ “สนามฝึก” ชุดแรกที่สร้างรูปแบบการสื่อสารของเรา ตั้งแต่เด็กจนโตเราถูกสอน วิธีรัก, วิธีขอความช่วยเหลือ, วิธีเผชิญความขัดแย้ง, ไปจนถึง วิธีปกป้องตัวเอง ผ่านประสบการณ์จากคนที่บ้านทั้งหมด


สิ่งเหล่านี้ เมื่อไม่ได้รับการสำรวจหรือเข้าใจอย่างจริงจัง มักถูกนำมาใช้ในออฟฟิศแบบอัตโนมัติจนทำให้เกิดความเข้าใจผิด ความคาดหวังผิด หรือภาระอารมณ์ที่ส่งผลต่อการทำงานโดยตรง


บทความนี้คือการพาคุณกลับมาเห็นว่าก่อนจะเข้าใจคนในออฟฟิศได้ดี เราต้องเข้าใจ “ภาวะภายในตัวเอง” และ “รูปแบบความสัมพันธ์ในบ้าน” ก่อนเสมอเพราะที่ทำงานคือเวทีที่ทำให้สิ่งที่เราไม่เคยเข้าใจในบ้าน ถูกขยายขึ้นอย่างชัดเจน


ทำไมความสัมพันธ์ในครอบครัว ถึงมีผลต่อการสื่อสารในที่ทำงานมากกว่าที่คิด

  1. ครอบครัวสอน “ภาษาทางจิตใจ” ของเรา

แต่ละครอบครัวมีรูปแบบความสัมพันธ์เฉพาะ เช่น


  • ครอบครัวที่เงียบ ไม่คุยปัญหา → ลูกโตมาเป็นคนเก็บทุกอย่างไว้คนเดียว

  • ครอบครัวที่เสียงดัง ทะเลาะบ่อย → โตมาแล้วคิดว่าความขัดแย้ง = การถูกคุกคาม

  • ครอบครัวที่เข้มงวด → โตมาแล้วกลัวการถูกตำหนิ ไม่เชื่อมั่นในคำพูดตัวเอง

  • ครอบครัวที่มีความคาดหวังสูง → โตมาแล้วทำงานเก่ง แต่เหนื่อยมากกับความกดดันตัวเอง สิ่งเหล่านี้ “โผล่” ในทีทำงานเสมอ แม้เราจะไม่รู้ตัวก็ตาม


  1. เวลาเครียดที่บ้าน มักแสดงออกในออฟฟิศเสมอ

ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ไม่มีใครวาง “อารมณ์ที่บ้าน” ไว้หน้าออฟฟิศได้จริง เพราะอารมณ์คือระบบเดียวกัน ความรู้สึกที่ยังไม่ถูกจัดการ จะเปลี่ยนเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ


  • โดนกดดันจากครอบครัว → มาหงุดหงิดใส่ทีม

  • มีปัญหากับคู่รัก → ไม่มีสมาธิ ประชุมแล้วฟังไม่รู้เรื่อง

  • ทะเลาะกับพ่อแม่ → ปิดใจ ไม่อยากคุยกับใครทั้งวัน

  • ต้องแบกรับปัญหาคนในบ้าน → มาทำงานแบบหมดไฟ เพราะ emotional bandwidth ถูกใช้ไปก่อนแล้ว

เรามักลืมว่า “ใจคนมีแค่ถังเดียว”ถังความรู้สึกที่พร่องจากบ้าน…ย่อมส่งผลต่อผลงานและความสัมพันธ์ที่ออฟฟิศ


  1. รูปแบบความสัมพันธ์ในบ้าน หล่อหลอมทักษะการฟังการสื่อสารอย่างไร

ต่อไปนี้คือ pattern ที่พบได้บ่อยในคนวัยทำงานไทย


บ้านที่ให้พื้นที่น้อย → โตมาเป็น “คนไม่กล้าพูด” ในออฟฟิศ

ถ้าที่บ้าน ความเห็นของเด็กไม่ใช่เรื่องสำคัญ คุณจะโตมาเชื่อว่า “ไม่ได้มีค่าพอที่จะพูด”

→ ในออฟฟิศจึงกลายเป็นคนไม่กล้าเสนอความคิดเห็น → ทั้งที่จริง ๆ แล้วคิดได้ดีมาก


บ้านที่คาดหวังสูง → โตมาเป็น “นักแบก” ในที่ทำงาน

เมื่อเด็กต้องพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลาโตมาจะรู้สึกว่าต้องเก่ง ต้องช่วย ต้องแก้ ต้องรับมือทุกอย่าง

→ ทำให้เหนื่อยง่าย หมดไฟเร็ว → ไม่กล้าขอความช่วยเหลือ → และมักเป็นคนที่ทีมเข้าใจผิดว่า “แรงเยอะ ทนไหว” ทั้งที่ไม่จริง


บ้านที่เงียบ → โตมารับมือความขัดแย้งไม่เก่ง

เพราะไม่เคยมีพื้นที่ฝึกพูดความรู้สึกจึงมักเลี่ยงการพูดคุยยาก ๆ

→ ทำให้ปัญหาที่ทำงานยิ่งสะสม → จนกลายเป็นดราม่าใหญ่โดยไม่ตั้งใจ


บ้านที่มีแต่คำสั่ง → โตมาเป็นหัวหน้าที่สื่อสารแบบ “สั่งงาน ไม่ใช้ใจ”

หัวหน้าแบบนี้ไม่ได้ใจร้ายแต่โตมากับ pattern ที่ว่า “ความรัก = ความคาดหวังสูง”

จึงไม่รู้วิธีให้กำลังใจ เพราะไม่เคยได้รับแบบนั้น


แล้วเราจะเริ่มเข้าใจ “ตัวเองที่บ้าน” ได้อย่างไร?

  1. เขียน “แผนที่ความรู้สึก” ของตัวเอง

    เขียนสิ่งที่บ้านทำให้คุณรู้สึก เช่น

    • เครียด

    • กลัว

    • กดดัน

    • ต้องเก่ง

    • ต้องดูแลทุกคน

    • ต้องไม่พลาด

    นี่คือรากของหลายอย่างในที่ทำงาน


  2. สำรวจ pattern การสื่อสารของบ้าน

    บ้านของคุณมีลักษณะแบบไหน?

    • เงียบ

    • คาดหวังสูง

    • พูดตรง

    • ระเบิดบ่อย

    • ทุกคนเก็บปัญหา

    • ต้องเข้มแข็งเสมอ

    แค่เห็น คุณก็เริ่มเปลี่ยนได้แล้ว


  3. ตั้งคำถามตัวเองว่า “เราเอาอะไรจากบ้าน มาส่งผลในที่ทำงาน?”

    นี่คือจุดเริ่มต้นของ self-awareness ที่แท้จริง เป็นการสำรวจเพื่อค้นหารูปแบบที่เราจดจำมาใช้โดยไม่รู้ตัว


นี่คือเหตุผลที่ทักษะการให้คำปรึกษาสำคัญกับคนทำงานยุคใหม่

ในยุคที่คนทำงานใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งในออฟฟิศ และอีกครึ่งหนึ่งรับมือกับความรู้สึกของคนที่บ้าน ทักษะที่คนต้องการมากที่สุดไม่ใช่แค่ สื่อสารเก่ง แต่คือ เข้าใจความรู้สึกมนุษย์ได้มากพอ จนสามารถ “ช่วยให้คนยืนขึ้นได้อีกครั้ง”


ทักษะการให้คำปรึกษาไม่ใช่ทักษะสำหรับนักจิตวิทยาเท่านั้น แต่มันคือ ทักษะชีวิต ที่ช่วยให้คุณ:

  • ฟังคนที่บ้านได้ดีขึ้น เข้าใจคนรักลึกขึ้น

  • ดูแลใจตัวเอง ก่อนที่งานจะทำให้หมดแรง

  • คุยงานได้ลื่นขึ้น เพราะเห็นความรู้สึกที่ซ่อนอยู่หลังพฤติกรรม

  • เป็นหัวหน้าที่ลูกน้องไว้ใจ

  • เป็น HR ที่พนักงานรู้สึก “พึ่งได้”

  • เป็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้วยแล้วปลอดภัยทางใจ


นี่คือทักษะที่ส่งผลต่อทั้งงานและชีวิตจริงของคุณ


ตัวอย่าง Case Study

Case ที่ 1 : ลูกสาวที่เก่งมาก แต่ไม่เคยมั่นใจว่าตัวเองดีพอ

ก้อย อายุ 27 ปี ทำงานฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลงานดีมากแต่เวลานำเสนอมักสั่น เสียงเบา กลัวผิด เมื่อพูดคุยลึก ๆ พบว่าเธอเติบโตมากับครอบครัวที่ “ชมเมื่อทำได้ดีมาก ๆ เท่านั้น”และเวลาทำพลาด พ่อแม่จะ “มองว่าเป็นเรื่องใหญ่” เสมอ


ผลคือเธอตีค่า Performance ของตัวเองต่ำกว่าความจริง เวลาประชุมจะคิดว่า “อย่าพลาด อย่าพลาด อย่าพลาด” มากกว่าคิดว่า “ฉันอยากเสนอไอเดียดี ๆ” หัวหน้าคิดว่า “ก้อยไม่มั่นใจในงาน”แต่จริงๆ เธอ “ไม่มั่นใจในคุณค่าในตัวเอง” จากประสบการณ์ที่บ้านมากกว่า


Case ที่ 2 : หัวหน้าที่เข้มงวด เพราะโตมากับบ้านที่มีแต่เสียงดัง

ต้น อายุ 35 ปี เป็นหัวหน้าฝ่ายขายลูกน้องหลายคนกลัว ไม่กล้าพูดคุยด้วย แต่แท้จริงแล้วต้นเป็นคนมีน้ำใจมากเขาแค่ “เผลอขึ้นเสียง” เวลางานเครียดอยู่บ่อย ๆ เพราะตอนเด็กความขัดแย้งในบ้านถูกแก้ด้วย “เสียงดังที่สุด”


ต้นจึงเข้าใจผิดว่าสื่อสารให้ได้ผล = ต้อง Assertive แบบแข็งแรง เพราะลูกน้องไม่ได้กลัวงานแต่กลัว “อารมณ์ของหัวหน้า” เมื่อเขาตระหนักว่า Pattern นี้ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นสิ่งที่ได้มาจากบ้านและไม่ใช่สิ่งที่ดีในที่ทำงาน ต้นเริ่มปรับน้ำเสียง ฝึกตั้งคำถาม และเปิดพื้นที่มากขึ้น ทำให้บรรยากาศทีมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


Case ที่ 3 : ภาระจากที่บ้าน ทำให้พนักงานคนหนึ่งหมดไฟโดยไม่รู้ตัว

แอน อายุ 30 ปี มีภาระดูแลแม่ที่ป่วย ทุกเช้าเธอใช้พลังอารมณ์ไปเกือบหมดก่อนมาถึงออฟฟิศ ที่ทำงานเห็นว่าแอน “อารมณ์ไม่คงที่ ชอบเหม่อ” แต่ไม่มีใครรู้ว่าแอนกำลังหมดแรงจากบ้าน ไม่ใช่จากงาน


เมื่อหัวหน้าเริ่มคุยด้วยทักษะการฟังแบบลึกซึ้ง (deep listening) และให้ปรับงานบางส่วนเพื่อเพิ่มพื้นที่พักใจ แอนเริ่มกลับมามีพลังอีกครั้ง นี่คือตัวอย่างชัดเจนว่า เข้าใจคนที่บ้าน → เข้าใจภาระที่เขาแบก → เข้าใจพฤติกรรมในออฟฟิศได้ดีขึ้น


เมื่อเรามองเห็นว่า “พฤติกรรมในออฟฟิศ” ไม่ได้เกิดจากเรื่องงานเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากรากอารมณ์ ความสัมพันธ์ และประสบการณ์ที่บ้าน เราจะเข้าใจทันทีว่าทักษะที่ต้องใช้ในการทำงานยุคนี้คือทักษะที่ลึกกว่าแค่ Communication Skill มันคือทักษะที่ช่วยให้เรามองคนได้เป็นมนุษย์ครบด้านมากขึ้น เห็นความเหนื่อย ความหวังดี ความกดดันที่อีกฝ่ายอาจไม่เคยพูดออกมาเลยสักครั้ง


นี่เองคือเหตุผลที่ทักษะการให้คำปรึกษา (Counseling Skills) กลายเป็นหนึ่งใน “เครื่องมือสำคัญที่สุด” สำหรับคนทำงาน ในยุคที่ความสัมพันธ์ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่เพื่อการบำบัด แต่เพื่อการสื่อสารที่ลึกขึ้น เข้าใจคนได้จริงขึ้น และดูแลใจตัวเองได้ดีขึ้น เพราะถ้าเราไม่เข้าใจตัวเองตั้งแต่ที่บ้าน การทำงานก็จะยิ่งเหนื่อยโดยไม่จำเป็น


และหากคุณอยากพัฒนาทักษะเหล่านี้แบบเป็นระบบ ฝึกจริง เห็นผลจริง หลักสูตรทักษะจิตวิทยาการให้คำปรึกษา จาก iSTRONG ถูกออกแบบมาเพื่อให้คุณเข้าใจทั้งจิตวิทยา การฟังระดับลึก เทคนิคตั้งคำถาม การอ่านภาษากาย การรับมืออารมณ์ และการดูแลความสัมพันธ์ทั้งในบ้านและที่ทำงาน คุณจะได้ “ฝึกทำจริง” ผ่านเคสจริง สถานการณ์จริงทั้งหมดสอนโดยทีมจิตแพทย์และนักจิตวิทยาที่ทำงานกับองค์กรไทยโดยตรง

iSTRONG Mental Health

ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร


บริการของเรา

สำหรับบุคคลทั่วไป

  • บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa  

  • คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS 

สำหรับองค์กร

โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong



iSTRONG ผู้ให้บริการด้านสุขภาพจิต Solutions ด้านสุขภาพจิต ให้คำปรึกษาโดยนักจิตวิทยา นักจิตบำบัด นักจิตวิทยาคลินิกที่มีใบรับรอง รวมถึงบทความจิตวิทยา

© 2016-2025 Actualiz Co.,Ltd. All rights reserved.

contact@istrong.co                     Call 02-0268949

  • Facebook Social Icon
  • YouTube Social  Icon
  • Instagram
  • Twitter
bottom of page