IT Welcome to Derry เมื่อความกลัวกัดกินใจ ต้องอยู่อย่างไรให้มีความสุข
- Chanthama Changsalak
- 3 days ago
- 2 min read

“เราจะอยู่กับความกลัวในใจของเราได้อย่างไร?” เป็นคำถามชวนคิดที่น่าสนใจจากซีรีส์ It: Welcome to Derry ซึ่งเป็นซีรีส์สยองขวัญที่ดัดแปลงมาจากนิยายสยองขวัญขายดี ของ Stephen King เจ้าพ่อหนังสยองขวัญ ถือว่าเป็นซีรีส์ภาคต้นของภาพยนตร์ IT: Chapter One และ IT: Chapter Two โดยมี Barbara Muschietti และ Jason Fuchs ผู้สร้างและผู้กำกับเดียวกันเป็นผู้สานต่อความสยอง ที่ต้องบอกเลยค่ะว่าโหด ดิบ แปลกประหลาด บิดเบี้ยว และรังสรรค์ “ความกลัว” ได้อย่างน่าตกตะลึง
โดย It: Welcome to Derry ยังคงเล่นกับประเด็น “ความกลัว” เช่นเดียวกับในนิยายและภาพยนตร์ แต่หนักหน่วงกว่าในเรื่องของ “ปมในใจ” ที่เกิดจากการสูญเสีย และความรู้สึกผิด ไม่ว่าจะเป็นผีคุณแม่ของรอนนี่ ที่แม้ว่าจะมาในชุดแต่งงาน (ตามภาพจำของรอนนี่) แต่มาในสภาพของผีตายทั้งกลม เพราะแม่คลอดรอนนี่แล้วเสียชีวิต
It จึงใช้ปมความรู้สึกผิดนี้หลอกหลอนรอนนี่ หรือผีคุณพ่อของลิลลี่ที่มาแบบแยกชิ้นส่วนในโหลแตงกวาดอง เพราะลิลลี่มีความรู้สึกผิดว่าตนเองเป็นตนเองให้พ่อประสบอุบัติเหตุสยองในโรงงาน
สาเหตุที่ It หลอกหลอนเด็ก ๆ หรือเหยื่อก่อนที่จะกิน เพราะอาหารอันโอชะของเจ้า It คือผู้ที่ถูกความรู้สึกทางลบกัดกร่อนจนสูญสลาย ทั้งผู้ที่มีความแค้น ผู้ที่มีความเศร้า และผู้ที่มีความกลัว นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ตัวละครหลักในทุกเวอร์ชั่นของเราจึงเป็นแก๊ง Loser ที่เปราะบาง และง่ายต่อการกระตุ้นความรู้สึกด้านลบในใจ ถึงแม้ว่าตัวละครหลักของ It จะไม่ได้ขี้แพ้เพราะตัวเอง แต่เป็นกลุ่มคนชายขอบที่สังคมถีบหัวส่งออกมา
โดยแก๊ง Loser ใน It: Welcome to Derry ประกอบด้วย Lilly Bainbridge เด็กหญิงหน้าตาน่ารัก แต่สูญเสียพ่อไปแบบไม่คาดคิด จึงเป็น PTSD (Post-traumatic Stress Disorder) จนแม่ต้องส่งไปรักษาที่โรงพยาบาจิตเวช จูนิเปอร์ฮอล เพื่อน ๆ และชาวเมืองจึงตั้งชื่อเล่นเธอว่า “Lilly the crazy” ร่วมด้วย Ronnie Grogan เด็กผิวสี ที่พ่อถูกจับให้เป็นแพะในคดีฆาตรกรรมเด็กในโรงภาพยนตร์
Will Hanlon เด็กผิวสี ที่เพิ่งย้ายมาใหม่จึงกลายเป็นคนนอกของสังคม Rich เด็กผู้ชายตัวเล็ก ขี้โม้ จึงทำให้มีเพื่อนน้อย หรือแม้แต่ตัวละครผู้ใหญ่เอง It: Welcome to Derry ก็แสดงให้เห็นว่าตัวละครที่เป็นผิวสี หรืออินเดียนแดง มักจะถูกคุกคามจาก “ความกลัว” ที่ It และชาวเมือง Derry สร้างขึ้น
ดังนั้นเมื่อตัดประเด็นเหนือจริงทั้งหลายทิ้งไป เราจะพบว่าสิ่งที่สร้างความน่ากลัวอย่างแท้จริงใน It: Welcome to Derry คือ ผู้คนในสังคมที่เราต้องอยู่ร่วมด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งเพื่อนบ้านที่อยากใส่ใจจนเกินพอดี เพื่อนร่วมงานที่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งชนชั้น หรือเพื่อนร่วมโรงเรียนที่คอยแต่จะกลั่นแกล้ง
ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้มีความ Loser ชัดเจนแบบตัวละครหลักของ It แต่แน่นอนค่ะว่าเราทุกคนล้วนมีปมในใจ บางคนอยากเป็นที่ยอมรับ บางคนไม่มั่นใจในความสามารถของตนเอง บางคนแบกภาระจนหลังหัก
นั่นจึงทำให้เราต้องเผชิญกับ “ความกลัว” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น กลัวตกงาน กลัวไม่มีเพื่อน กลัวไม่มีที่ยืนในสังคม กลัวเงินไม่พอใช้ นั่นจึงวนกลับมาที่คำถามว่า “เราจะอยู่กับความกลัวในใจของเราได้อย่างไร?” ซึ่งนักจิตวิยาได้แนะนำวิธีการอยู่กับความกลัวด้วยใจที่เป็นสุขเอาไว้ดังนี้ค่ะ
ยอมรับว่าตนเองมี “ความกลัว”
การยอมรับ (Acceptance) และ การรับรู้ความรู้สึกอย่างไม่ตัดสิน (Non-judgmental Awareness) เหมือนที่ Lilly เปิดใจกับ Matty ว่ารู้สึกผิดเรื่องพ่อ ซึ่งในทางจิตวิทยาถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยลดความกลัว ความวิตกกังวล และความทุกข์ทางอารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตามทฤษฎี Acceptance and Commitment Therapy (ACT) ได้อธิบายว่า ยิ่งเราพยายามหลีกเลี่ยง “ความกลัวในใจ” มากเท่าไร ความกลัวนั้นก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นแล้วหากเราสามารถยอมรับความกลัว จะสามารถช่วยลดกิจกรรมของสมองส่วน Amygdala ซึ่งเป็นศูนย์กลางความกลัว ทำให้ลดแรงต้านในระดับระบบประสาท Sympathetic ได้เลยทีเดียว รวมถึงเรายังสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นทางจิตใจ (Psychological flexibility) ได้อีกด้วย
เผชิญหน้าความกลัวทีละขั้น
งานวิจัยทางจิตวิทยาหลายชิ้นงาน พบว่า การเผชิญหน้าความกลัวทีละขั้น (Systematic Desensitization) เป็นวิธีการรักษาความกลัวแบบผิดปกติ (Phobia) และ PTSD ที่ได้ผลที่สุดวิธีหนึ่งเพราะช่วยให้สมองเรียนรู้ใหม่ว่า “สิ่งที่กลัวไม่ใช่ภัยจริง”
โดยการเผชิญหน้าความกลัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากเล็กไปใหญ่ พร้อมใช้เทคนิคการผ่อนคลาย (Relaxation) จะช่วยให้สมองจับคู่สิ่งที่กลัวกับความผ่อนคลาย ซึ่งช่วยให้เรา “ชิน” และลดการตอบสนองทางกาย เช่น หากเรากลัวการนำเสนอต่อหน้าคนเยอะ ๆ เราจะมีอาการใจสั่น มือเท้าชา พูดตะกุดตะกัด รู้สึกหายใจไม่ออก
แต่ถ้าเราใช้เทคนิคจิตวิทยาการเผชิญหน้าความกลัวทีละขั้น (Systematic Desensitization) โดยการฝึกซ้อมบ่อย ๆ พร้อมทั้งฝึกหายใจเข้า - ออก ช้า ๆ และลองไปพูดให้คนกลุ่มเล็ก ๆ ฟังก่อน เราจะชินกับความตื่นเต้น และสามารถพูดในเวทีใหญ่ ๆ ได้
พิสูจน์ความคิดว่าสิ่งที่เรา “กลัว” นั้นเป็นจริงหรือไม่
ผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยาอธิบายว่า ความกลัวส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความวิตกกังวลสูง (Anxiety Disorder) PTSD และ Phobia เกิดจากความคิดอัตโนมัติที่บิดเบือน (Cognitive Distortions) เช่น เวลาเจองานด่วน งานเร่ง จะมีความคิดว่า “ฉันจัดการไม่ได้แน่ ๆ”
หรือหากทำพลาดแม้เพียงนิดเดียวก็จะเกิดความคิดว่า “ทุกคนจะโทษว่าเป็นความผิดของฉัน” ดังนั้นการพิสูจน์ความคิด (Reality Testing) จึงเป็นการตรวจสอบว่า ความกลัวนั้นตั้งอยู่บนหลักฐานจริง หรือเกิดจากความกังวลภายใน โดยเทคนิคการพิสูจน์ความคิดในทางจิตวิทยาก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ค่ะ
เช่น มีหลักฐานสนับสนุนความคิดนี้หรือไม่? มีหลักฐานขัดแย้งกับความคิดนี้หรือไม่? หากเพื่อนอยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน ฉันจะแนะนำอย่างไร? เป็นต้น ซึ่งการพิสูจน์ความคิดจะสามารถช่วยให้สมองแยก “ความจริง” ออกจาก “การตีความทางอารมณ์” ทำให้เราสามารถควบคุมความคิดได้มากขึ้น มีความวิตกกังวลลดลง
ระบายความกลัวให้คนที่ไว้ใจฟัง
เราจะเห็นได้ว่าตัวละครหลักใน IT: Chapter One และ IT: Chapter Two สามารถเอาชนะ It ได้ก็เพราะพวกเขาอยู่ร่วมกัน รับฟังความทุกข์ ความกังวล “ความกลัว” ของกันและกันโดยไม่ตัดสิน
อีกทั้งยังมีความเข้าอกเข้าใจเพราะเป็นหัวอกเดียวกัน คือ เป็นเด็กมีปม คนชายขอบเช่นเดียวกัน ซึ่งตัวละครหลักใน It: Welcome to Derry ก็มีการเชื่อมโยงและผูกสัมพันธ์คล้าย ๆ กัน คือ เป็นเด็กที่เป็นคนนอกของสังคม ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนเข้าใจ
แต่เข้าใจซึ่งกันและกัน จึงมีความ “กล้าที่จะเอาชนะความกลัว” ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถเชื่อมโยงมาสู่ชีวิตจริงของเราในการเอาชนะความกลัว กล่าวคือ หากเราต้องการที่จะอยู่ร่วมกับความกลัว หรือก้าวผ่านความกลัวของเราไปได้ เราต้องกล้าที่จะเปิดใจให้ใครซักคนที่เป็น Safe Zone ของเรารับฟัง แล้วเราจะไม่รู้สึกเดียวดายอีกต่อไปค่ะ
It: Welcome to Derry ได้ทำให้เราตระหนักถึง “ความกลัว” อย่างเป็นรูปเป็นร่าง เป็นปีศาจที่ต้องกำจัด แต่ “ความกลัว” ในชีวิตจริงจะค่อย ๆ กดดัน กัดกร่อน ทำลายความมั่นใจ และลดทอนคุณค่าของเรา ดังนั้นจึงหวังว่า 4 เทคนิคทางจิตวิทยาข้างต้น จะช่วยให้คุณสามารถอยู่กับความกลัวได้อย่างปกติสุขมากขึ้นนะคะ
iSTRONG Mental Health
ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร
บริการของเรา
สำหรับบุคคลทั่วไป
บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa
คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS
สำหรับองค์กร
EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8
โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong
บทความแนะนำ
อ้างอิง
Craske, M. G., Treanor, M., Conway, C. C., Zbozinek, T., & Vervliet, B. (2014).
Maximizing exposure therapy: An inhibitory learning approach. Behaviour Research and Therapy, 58, 10–23.
Foa, E. B., & Kozak, M. J. (1986).
Emotional processing of fear: Exposure to corrective information. Psychological Bulletin, 99(1), 20–35.
Hayes, S. C., Strosahl, K. D., & Wilson, K. G. (2016).
Acceptance and commitment therapy: The process and practice of mindful change (2nd ed.). Guilford Press.
Hölzel, B. K., Lazar, S. W., Gard, T., Schuman‐Olivier, Z., Vago, D. R., & Ott, U. (2011).
How does mindfulness meditation work? Proposing mechanisms of action from a conceptual and neural perspective. Perspectives on Psychological Science, 6(6), 537–559.
Kashdan, T. B., & Rottenberg, J. (2010).
Psychological flexibility as a fundamental aspect of health. Clinical Psychology Review, 30(7), 865–878.
Shapiro, F. (2018). Eye movement desensitization and reprocessing (EMDR) therapy: Basic principles, protocols, and procedures (3rd ed.). Guilford Press.
ประวัติผู้เขียน
จันทมา ช่างสลัก บัณฑิตจิตวิทยาคลินิกจากรั้ว มช. และมหาบัณฑิตจาก NIDA ปัจจุบันเป็นคุณแม่ลูก 1 ผู้เป็นทาสแมว ที่มุ่งมั่นจะพัฒนาการเขียนบทความจิตวิทยาให้โดนใจผู้อ่าน และสร้างแรงกระเพื่อมทางสังคม ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกบนโลกใบนี้
