top of page

หัวหน้าที่ตั้งใจฟัง จะได้พลังจากทีม จิตวิทยาการฟังที่เปลี่ยนพลังทีมเวิร์ค


iSTRONG หัวหน้าที่ตั้งใจฟัง จะได้พลังจากทีม จิตวิทยาการฟังที่เปลี่ยนพลังทีมเวิร์ค

คุณเคยเจอไหม? หัวหน้าที่คิดว่าตัวเอง “ฟังแล้ว” แต่ลูกน้องกลับรู้สึกว่า “ไม่กล้าพูด” บางครั้งแค่สีหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงที่เร่งรีบ หรือคำพูดอย่าง “สรุปมาเลยละกัน” ก็เพียงพอที่จะทำให้ลูกน้องปิดใจพวกเขาอาจจะพยักหน้า แต่ในใจกลับถอนหายใจอาจจะพูดว่า “ได้ค่ะ / ได้ครับ” แต่ในใจคิดว่า “เอาเถอะ ทำ ๆ ไปละกัน”


สิ่งที่หัวหน้าหลายคนไม่รู้คือ “การฟัง” ไม่ได้วัดจากว่าเราอยู่ตรงนั้นตอนอีกฝ่ายพูดหรือไม่แต่วัดจากว่า “เขารู้สึกว่าถูกฟัง” หรือเปล่า


ในที่ทำงานไทย เรามักโตมากับวัฒนธรรมที่ให้ “คนมีตำแหน่งเป็นคนพูด”แต่ในยุคที่ทีมต้องการความร่วมมือ ความเข้าใจ และความจริงใจสิ่งที่ผู้นำต้องมีไม่ใช่แค่ Vision หรือ Authority แต่คือ Empathy ความสามารถในการฟังอย่างลึกซึ้ง หัวหน้าที่ฟังเป็น จะมองเห็น “สิ่งที่ลูกน้องไม่ได้พูด” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการสร้างทีมที่ “ไว้ใจกัน” มากกว่า “เกรงใจกัน”


ฟังอย่างเข้าใจ ไม่ใช่แค่ฟังให้จบ

ในจิตวิทยาการให้คำปรึกษา มีแนวคิดหนึ่งเรียกว่า Active Listening หรือ “การฟังอย่างลึกซึ้ง” ที่ใช้ในทุกบทสนทนา ไม่ว่าจะในห้องให้คำปรึกษา หรือในห้องประชุม การฟังแบบนี้ไม่ใช่แค่เปิดหู แต่เปิดใจ เปิดพื้นที่ให้คนรู้สึก “ปลอดภัยที่จะพูด”และนี่คือ 3 มิติของการฟังที่หัวหน้าหลายคนมักมองข้าม


  1. ฟังเนื้อหา (Content Listening)

    ฟังสิ่งที่เขาพูด หัวหน้าหลายคนเข้าใจตรงนี้ดีอยู่แล้ว แต่จบแค่ “ข้อมูล” ที่ได้ยิน


  2. ฟังอารมณ์ (Emotional Listening)

    ฟังสิ่งที่เขารู้สึก เช่น เวลาได้ยินลูกน้องพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ” การฟังแบบลึกจะจับได้ว่าคำนี้มี “น้ำเสียงของความเสียใจ” หรือ “การยอมจำนน” อยู่หรือไม่


  3. ฟังความหมาย (Meaning Listening)

    ฟังสิ่งที่เขา “อยากจะบอก” เพราะบางครั้ง สิ่งที่พูดกับสิ่งที่รู้สึกไม่เหมือนกัน ลูกน้องที่พูดว่า “ผมไม่เป็นไรครับ” อาจหมายถึง “ผมรู้สึกไม่โอเคแต่ไม่กล้าพูด”


การฟังให้ได้ 3 ชั้นนี้ คือสิ่งที่นักให้คำปรึกษาฝึกซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะการฟังแบบนี้จะเปลี่ยนจาก “ข้อมูล” เป็น “ความเข้าใจ”และจาก “หัวหน้า” เป็น “ผู้นำที่ทีมอยากอยู่ด้วย”


5 วิธีฟังให้คนอยากพูดกับคุณมากขึ้น

  1. ปิดโทรศัพท์ก่อนคุย

    การฟังเริ่มจาก “การให้ความสำคัญ” แค่คุณวางมือถือระหว่างคุย คนตรงหน้าก็รู้แล้วว่าเขาสำคัญกับคุณ


  2. ถามมากกว่าพูด

    ผู้นำที่ดีไม่ต้องมีคำตอบเสมอ แต่ต้องมีคำถามที่ดี คำถามอย่าง “ตอนนั้นคุณรู้สึกยังไง” หรือ “อะไรทำให้คิดแบบนั้น” มักเปิดบทสนทนาได้ลึกกว่าคำถามว่า “ทำไมถึงทำแบบนี้”


  3. สะท้อนความรู้สึกแทนการตัดสิน

    แทนที่จะพูดว่า “คุณคิดเยอะไปไหม” ลองพูดว่า “ดูเหมือนเรื่องนี้จะทำให้คุณหนักใจมากเลยนะ” แค่เปลี่ยนมุมเดียว บรรยากาศทั้งวงเปลี่ยน


  4. อย่าขัดกลางประโยค แม้จะรู้คำตอบแล้ว

    เพราะสิ่งที่เขาต้องการอาจไม่ใช่คำแนะนำ แต่คือ “โอกาสได้พูดให้หมด”


  5. ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อโต้กลับ

    เวลาคุณฟังใคร ลองถามตัวเองว่า “ตอนนี้ฉันกำลังฟังเพื่อเข้าใจเขา หรือเพื่อหาช่องตอบกลับ”


ตัวอย่าง Case Study

Case ที่ 1 : หัวหน้าที่หยุดพูดแทนลูกน้อง

คุณอรเป็นหัวหน้าทีมบริการลูกค้า เธอมักจะพูดแทนลูกน้องทุกครั้งที่ประชุม วันหนึ่งมีลูกน้องบอกว่า “พี่ครับ ผมอยากให้พี่ลองฟังจนจบก่อน เพราะบางทีผมยังพูดไม่หมด” คำพูดนั้นทำให้คุณอรช็อก เธอคิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้าที่ดี


แต่แท้จริงแล้วไม่เคยฟังลูกน้องจริง ๆ สักที หลังจากวันนั้น เธอฝึก “นับเลขในใจ” ก่อนพูดในที่ประชุมเพื่อฟังอย่างตั้งใจให้ลูกน้องพูดให้จบก่อน ผลคือลูกน้องเริ่มกล้าเสนอความคิดเห็นมากขึ้น ได้ไอเดียจากทีมที่หลากหลายขึ้น ทำให้ยอดความพึงพอใจลูกค้าของทีมก็พุ่งสูงสุดในรอบปี


Case ที่ 2 : พนักงานที่ลาออกเพราะหัวหน้าไม่เคยฟัง “ใจ” เพราะฟังแต่ “เหตุผล”

ธนาเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาด เขาเสียลูกน้องคนเก่งไปโดยไม่รู้ตัวตอน Exit interview ลูกน้องคนนั้นพูดเพียงว่า “หนูไม่ได้เหนื่อยกับงาน แต่หนูเหนื่อยกับการไม่มีที่ให้พูดและรู้สึกอะไรเลย ”คำนั้นฝังอยู่ในใจธนาจนวันนี้


หลังจากเขาได้ทบทวนทุกอย่างนั้น เขาเริ่มฝึกทักษะการ “ฟังแบบตั้งใจ” เพื่อเข้าถึงความรู้สึกและเหตุผลไปพร้อมกัน โดยนัดหมายพูดคุยกับลูกทีมแต่ละคนทุกสัปดาห์ สองเดือนต่อมา เขารู้สึกว่าบรรยากาศและทุกอย่างดีขึ้นมาก เพราะตอนนี้เขารู้หลาย ๆ เรื่องมากขึ้นในทีม ได้ยินความจริงที่ไม่เคยรู้มาก่อน ทำให้ธนาสามารถวางตัวและช่วยแก้ปัญหาได้ถูกจุด จนภายหลังทีมก็เริ่มกลับมามีความเชื่อใจในตัวเขาอีกครั้ง


Case ที่ 3 : HR ที่ช่วยหัวหน้าเรียนรู้การฟังอย่างมี Empathy

พี่ดาว HR จากบริษัทขนาดกลาง เคยเจอปัญหาที่หัวหน้าหลายคนบ่นว่า “ลูกน้องไม่เปิดใจ” เธอจึงจัด Workshop เล็ก ๆ ชื่อ “ฟังเป็น เห็นใจ” ให้หัวหน้าแต่ละคนลองฟังเรื่องยากของลูกน้อง โดยไม่พูดแทรกแม้แต่คำเดียว


ให้ลูกน้องได้พูดความรู้สึกออกมาจากใจจริง ๆ โดยที่หัวหน้าต้องพยายามตั้งใจฟัง ผลคือหลายคนร้องไห้ เพราะเพิ่งรู้ว่าการฟังคนอื่นโดยไม่ขัด มันยากขนาดไหน แต่ก็ทำให้เห็นว่าความรู้สึกแล้วเหตุผลของลูกน้องมันสำคัญมาก ๆ และไม่เคยรับรู้มาก่อน นั่นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การพัฒนาความสัมพันธ์ในทีมหลังจากนั้นแน่นแฟ้นขึ้นอย่างชัดเจน


การฟังเป็น คือหัวใจของการเป็นผู้นำ

ในโลกที่ทุกคนพยายาม “พูดให้ดังขึ้น” แต่คนที่จะมีอิทธิพลจริง ๆ กลับเป็น “คนที่ฟังได้ลึกกว่า” เพราะการฟังอย่างเข้าใจ ไม่ได้เปลี่ยนแค่บทสนทนาแต่มันอาจเปลี่ยน “ความสัมพันธ์” ระหว่างหัวหน้าและทีมไปตลอดกาล


หลักสูตรทักษะจิตวิทยาการให้คำปรึกษา จาก iSTRONG ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คนทำงานเข้าใจศาสตร์ของการฟังอย่างมีจิตวิทยา คุณจะได้ฝึก “ฟังเพื่อเข้าใจ” มากกว่า “ฟังเพื่อโต้ตอบ” ได้เรียนรู้การสังเกตอารมณ์ ความรู้สึก และสัญญาณที่ซ่อนอยู่ในคำพูด


และที่สำคัญ คุณจะได้ฝึกจริงจากเคสจำลองที่เกิดขึ้นจริงในที่ทำงาน เพราะการฟังที่แท้จริงไม่ใช่แค่ “เปิดหู” แต่คือ “เปิดใจ” และหัวหน้าที่ฟังเป็น คือหัวหน้าที่ลูกน้องอยากพูดด้วยเสมอ

iSTRONG Mental Health

ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร


บริการของเรา

สำหรับบุคคลทั่วไป

  • บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa  

  • คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS 

สำหรับองค์กร

โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong



iSTRONG ผู้ให้บริการด้านสุขภาพจิต Solutions ด้านสุขภาพจิต ให้คำปรึกษาโดยนักจิตวิทยา นักจิตบำบัด นักจิตวิทยาคลินิกที่มีใบรับรอง รวมถึงบทความจิตวิทยา

© 2016-2025 Actualiz Co.,Ltd. All rights reserved.

contact@istrong.co                     Call 02-0268949

  • Facebook Social Icon
  • YouTube Social  Icon
  • Instagram
  • Twitter
bottom of page