ลักกันวันตาย : 4 เทคนิคการสื่อสารในคู่รัก สื่อสารอย่างไรให้ความรักเติบโตได้ด้วยใจเป็นสุข
- Chanthama Changsalak
- 12 minutes ago
- 2 min read

“ลักกันวันตาย” ภาพยนตร์ไทยใน Netflix โดยผู้กำกับนิธิวัฒน์ ธราธร กับพล็อตเรื่องที่น่าสนใจว่า หากพนักงานธนาคาร 2 คน ร่วมกันโกงเงินจากบัญชีคนตาย แต่เงินในบัญชีดันไปเกี่ยวข้องกับแก๊งมาเฟีย จะเกิดอะไรขึ้น
ซึ่งภาพยนตร์นำแสดงโดย พี่เคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ และริว วชิรวิชญ์ วัฒนภักดีไพศาล ร่วมด้วย ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์
ถึงแม้ว่าภาพยนตร์ “ลักกันวันตาย” จะมุ่งเน้นไปที่การหลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอดจากแก๊งมาเฟีย ของ 2 หนุ่มแบงค์ ที่จะใช้เงินคนตาย 30 ล้านบาท ดันกลายเป็นทุกขลาภที่นำพาชีวิตดิ่งลงเหว
แต่เมื่อเรามองไปถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวละคร “พี่โต” ที่แสดงโดยพี่เคน ธีรเดช ต้องตัดสินใจทำเรื่องที่ท้าทายจรรยาบรรณและศีลธรรม ก็คือความกดดันจาก “จ๋า” ภรรยา (แสดงโดย คุณน้ำฝน กุลณัฐ กุลปรียาวัฒน์) ที่กดดันสามี (ผู้ทำงานหาเงินแต่เพียงลำพัง) ให้ส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติที่ดีที่สุด (และแพงที่สุด) ในพัทยา โดยไม่เคยถามสามีเลยว่า เขาไหวไหม หรือเหนื่อยเกินไปหรือเปล่านั่นจึงเป็นที่มาของบทความจิตวิทยานี้ค่ะ ว่าคู่รักควรจะมีเทคนิคการสื่อสารในคู่รักอย่างไรให้ความรักเติบโตได้ด้วยใจเป็นสุขค่ะ
มีงานวิจัยทางจิตวิทยาต่างประเทศหลายชิ้นงาน พบว่า ปัญหาการสื่อสารในคู่รัก เป็นสาเหตุให้คู่รักหย่าร้าง หรือเลิกรากันไปมากถึง 50-70% และยังพบอีกว่า การสื่อสารในคู่รักที่เป็นการสื่อสารเชิงลบ (Negative behaviors) สามารถนำมาทำนายพฤติกรรมการหย่าร้างได้สูงถึง 94% เลยทีเดียว
ทางด้านงานวิจัยทางจิตวิทยาภายในประเทศไทย พบว่า พฤติกรรมการแสดงออกและทักษะการสื่อสารในคู่รักมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับระดับความพึงพอใจในชีวิตคู่และการจัดการความขัดแย้ง ดังนั้นแล้วหากคู่รักสามารถพัฒนาทักษะการสื่อสารด้วยเทคนิคการสื่อสารในคู่รัก ความรักก็สามารถเติบโตได้ด้วยใจที่เป็นสุขค่ะ โดยเทคนิคการสื่อสารในคู่รักที่ผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยาแนะนำ มีดังนี้
ฟังอย่างตั้งใจ (Active listening)
ย้อนกลับไปที่ภาพยนตร์เรื่อง “ลักกันวันตาย” ผู้ชมอย่างเราจะได้เห็นความสัมพันธ์ของ “โต” และ “จ๋า” ในลักษณะภรรยาเป็นใหญ่ และมีการสื่อสารเพียงฝ่ายเดียว คือ ฝ่ายภรรยา โดยประโยคที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้โตถลำลึกในวงจรอุบาทภายในเรื่อง ก็คือ คำพูดที่จ๋าบอกโตว่า “15 ล้านน่ะมันแค่ค่าเล่าเรียน 12 ปีต่อจากนี้ ห้ามป่วย ห้ามตาย หาเงินมาเยอะ ๆ นะพ่อ”
โดยที่จ๋าไม่เคยฟังโตเลยว่าโตรู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร มีบางฉากที่โตพยายามบอกจ๋าว่าสถานะการเงินของครอบครัวไม่ไหวกับโรงเรียนที่จ๋าเลือก ผ่านประโยคที่ว่า “โตต้องหาเงินอีกเท่าไรหรือจ๋า มันถึงจะพอ?” แต่จ๋ากลับตัดบท ไม่รับฟัง และตอบว่า “จะเท่าไรก็ต้องหามาจ่ายไหม อยากให้ลูกภาษาแย่เหมือนโตหรือ”
พอการสื่อสารในคู่รักที่ไร้การฟังอย่างตั้งใจ จึงนำมาซึ่งความไม่เข้าใจ และเกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ หรืออาจผลักดันให้ผู้ที่แบกรับความกดดันในความสัมพันธ์ตัดสินใจทำเรื่องเลวร้ายอย่างที่โตทำก็เป็นได้
ใช้การสื่อสารแบบ “I-statements”
จะเห็นได้ว่าการสื่อสารส่วนใหญ่ของโต จ๋า และน้องสโนว์ จะเป็น “แม่เป็นใหญ่” จนพ่อและลูกไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น โดยเราจะเห็นได้จากตอนที่น้องสโนว์สอบสัมภาษณ์เพื่อเข้าโรงเรียนนานาชาติ ที่ผู้อำนวยการถามว่า “เพราะอะไรหนูถึงอยากมาเรียนโรงเรียนนี้?” แต่น้องสโนว์กลับฝืนยิ้ม แล้วตอบว่า “เพราะพ่ออยากให้มาเรียนค่ะ”
และฉากที่จ๋าคาดคั้นเรื่องเงินกับโต แล้วโตโมโห จ๋าจึงนำความยากลำบากในการเลี้ยงลูกมาพูดว่า “โตไม่รู้หรอกว่าจ๋าลำบากขนาดไหน” ทำให้โตซึ่งตัดสินใจทำเรื่องร้ายแรงเพื่อลูกได้โต้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า “จ๋าเองก็ไม่รู้หรอกว่าโตเสียสละเพื่อจ๋าและลูกขนาดไหน” พอต่างฝ่ายต่างใช้การสื่อสารแบบ “ฉันเป็นใหญ่” จึงทำให้จบลงที่ทะเลาะกัน
แต่ถ้าโตและจ๋าหันมาสื่อสารด้วย “I-statements” เช่น “โตทำงานหาเงินเหนื่อยมากเลย และโตคิดว่าค่าเทอมโรงเรียนนี้จะทำให้ครอบครัวเราลำบากในอนาคต เรามาหาโรงเรียนใหม่ที่มีคุณภาพ แต่ค่าเทอมถูกกว่านี้ดีไหม” หรือ “จ๋าเป็นห่วงอนาคตของลูก อยากให้ลูกเก่งภาษาและมีเพื่อนที่ดี จ๋าว่าโรงเรียนนี้เหมาะกับลูกมากนะ”
เมื่อการสื่อสารถูกกลั่นกรองมาจากความรู้สึก และมีเหตุผลมารองรับ คนฟังจะเปิดใจรับฟัง และหันหน้ามาพูดคุยกันด้วยความปารถนาที่ดีต่อกันค่ะ
การสะท้อนความรู้สึก (Reflective listening)
ทุกการสนทนาของ “โต” และ “จ๋า” จะเต็มไปด้วยเรื่อง “เงิน” เช่น “วันนี้จ๋าสมัครเรียนพิเศษให้ลูกแล้วนะ” หรือ “จ๋านัดแม่ ๆ โรงเรียนเก่าไปเที่ยวเกาหลีนะ ลูกจะได้ Keep Connection กับเพื่อนหลายกลุ่ม” หรือ “ลูกแพ้ยุง จ๋าเลยจ้างคนมาฉีดยายุงที่บ้านนะ”
โดยความหมายที่ซ่อนอยู่หลังประโยคบอกเล่า คือ ให้โตจ่ายเงิน โดยจ๋าไม่เคยถามความรู้สึกโตเลยว่า “เหนื่อยไหม” ทางฝ่ายโตเอง ก็ไม่เคยถามความรู้สึกของจ๋าเช่นกันว่า การที่จ๋าต้องออกจากงานที่ดูจะภูมิใจมาเป็นคุณแม่เต็มเวลา จ๋ามีความสุขไหม จ๋าภูมิใจในตัวเองอยู่ไหม จ๋ากังวลเรื่องอนาคตลูกหรือไม่ จ๋าเลี้ยงลูกเหนื่อยหรือเปล่า และที่สำคัญทั้งโตและจ๋าไม่เคยตกลงร่วมกันเรื่องอนาคตของลูก
เมื่อการสื่อสารในคู่รักขาดการสะท้อนความรู้สึก ต่างฝ่ายต่างต้องเก็บกดความรู้สึกของตนเอง จนเมื่อถึงจุดหนึ่งถึงได้ระเบิดออกมา อีกทั้งยังมีแนวโน้มสูงที่พ่อแม่ที่ขาดการสะท้อนความรู้สึกต่อกัน จะไม่มีการสื่อสารความรู้สึกกับลูก และไม่สนับสนุนให้ลูกสะท้อนความรู้สึก จึงอาจทำให้ลูกเก็บกดทางอารมณ์ และมีความเครียดในการใช้ชีวิตได้
ตอบสนองเชิงบวก (Active constructive responding)
อย่างที่ได้กล่าวไปในข้อก่อนหน้าว่า ในการสื่อสารของ “โต” และ “จ๋า” มักจะเป็นไปในเชิงว่า “วันนี้ฉันทำอะไรเพื่อลูกไปบ้างแล้ว ขอเงินเธอหน่อยสิ” โดยเราจะไม่ได้เห็นฉากพ่อ แม่ ลูกนั่งทานข้าวและพูดคุยเล่าเรื่องดี ๆ ในชีวิตประจำวันเลย หรือเราแม้แต่ฉากที่โตปรึกษากับจ๋าเรื่องเงิน หรือโตกับจ๋าพูดคุยกับลูกเรื่องโรงเรียนก็ไม่มีให้เห็น
มีแต่ฉากที่โตเลิกงานดึก เข้าบ้านมา จ๋าขอโทรศัพท์ไปสแกนหน้าโต แล้วก็โอนเงินจากบัญชีโตไปจ่ายทุกอย่างที่จ๋า “ทำเพื่อลูก” โดยไม่รู้เลยว่าเงินที่นำมาใช้จ่ายในบ้านนั้น โตก็ต้องเสียสละ “ทำเพื่อลูก” ด้วยวิธีไหน
ดังนั้นแล้วหากโต จ๋า และน้องสโนว์ ได้มีพื้นที่ที่ทุกคนสามารถพูดความในใจ ได้แบ่งปันความรู้สึก ได้บอกเล่าประสบการณ์ชีวิตทั้งเรื่องดีและไม่ดี โดยมีสมาชิกที่รักในบ้านคอยตอบสนองเชิงบวก เช่น ยิ้ม หัวเราะ แสดงความยินดี กอด ปลอบใจ ร้องไห้ไปด้วยกัน เหตุการณ์ในเรื่องจะไม่ไปถึงจุดที่โตต้องเผชิญอยู่อย่างแน่นอนค่ะ
การสื่อสารในคู่รัก ไม่ใช่เพียงการพูดคุยกับของคนสองคนที่คบหากัน เพราะเมื่อคู่รักพัฒนามาเป็นครอบครัว การสื่อสารในคู่รักจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความรักเติบโตได้โดยที่ต่างฝ่ายต่างมีความสุข เพราะมีคนรับฟังความรู้สึก อีกทั้งยังส่งผลถึงความสุขและคุณภาพชีวิตของลูก และสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัว และชีวิตจะได้ไม่พังเหมือนโต ใน “ลักกันวันตาย” เพราะบางครั้ง การฟังด้วยหัวใจเพียงครั้งเดียว อาจช่วยรักษาความรักไว้ได้ตลอดชีวิตค่ะ
iSTRONG Mental Health
ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร
บริการของเรา
สำหรับบุคคลทั่วไป
บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa
คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS
สำหรับองค์กร
EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8
โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong
บทความแนะนำ
อ้างอิง
Dyer, W. J., Kaufman, R., & Fagan, J. (2017).
Father–child closeness and conflict: Validating measures for nonresident fathers.
Journal of Family Psychology, 31(8), 1074–1080.
Lavner, J. A., Karney, B. R., & Bradbury, T. N. (2012).
Do cold feet warn of trouble ahead? Premarital uncertainty and four-year marital outcomes. Journal of Family Psychology, 26(6), 1012-1017.
The Gottman Institute. (2025).
Solving relationship communication problems: How couples overcome issues in relationships.
The Gottman Institute.
ธิรดา สุวัณณะศรี, ครรชิต แสนอุบล, อุทัยวรรณ สารพัฒนะ, และเพ็ญนภา กุลนภาดล. (2560).
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุความสุขในชีวิตสมรสในเขตกรุงเทพมหานคร.
วารสารเวอร์ริเดียน มหาวิทยาลัยศิลปากร (Veridian E-Journal, Silpakorn University), 10(2), 2662–2676.
สุมัทนา สินสวัสดิ์ และพนมพร พุ่มจันทร์. (2557).
ครอบครัว: การจัดการความขัดแย้งของคู่สมรสเพื่อการครองรักอย่างยั่งยืน.
วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 40(2), 184–195.
ประวัติผู้เขียน
จันทมา ช่างสลัก บัณฑิตจิตวิทยาคลินิกจากรั้ว มช. และมหาบัณฑิตจาก NIDA ปัจจุบันเป็นคุณแม่ลูก 1 ผู้เป็นทาสแมว ที่มุ่งมั่นจะพัฒนาการเขียนบทความจิตวิทยาให้โดนใจผู้อ่าน และสร้างแรงกระเพื่อมทางสังคม ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกบนโลกใบนี้
