top of page

เหนื่อยเพราะงาน หรือเพราะความคาดหวังในใจ จิตวิทยาที่จะช่วยให้คุณหยุดกดดันตัวเองเกินไป


iSTRONG เหนื่อยเพราะงาน หรือเพราะความคาดหวังในใจ จิตวิทยาที่จะช่วยให้คุณหยุดกดดันตัวเองเกินไป

“งานก็ไม่หนักมาก แต่ทำไมใจมันเหนื่อยเหลือเกิน?” หลายคนมีช่วงเวลาที่ถามตัวเองแบบนี้ ทำงานตามหน้าที่ไม่ได้มีดราม่าในทีมไม่ได้ทะเลาะกับใครงานก็ไม่ได้ล้นจนรับไม่ไหว แต่ทำไมใจมันหนัก เหนื่อย อ่อนล้า แบบไม่มีเหตุผล?


บางวันแค่เปิดคอมก็เหนื่อยแล้วบางวันมีประชุมธรรมดา…แต่ใจกลับเต้นแรงบางวันอยากพูดคำว่า “ขอพักก่อน” แต่ก็พูดไม่ได้เพราะกลัวคนคิดว่าไม่รับผิดชอบและที่หนักที่สุดคือเหนื่อยเพราะต้องพยายามเป็น “ในแบบที่คิดว่าคนอื่นต้องการ”


หลายคนไม่ได้เหนื่อยจาก “งานจริง ๆ” แต่เหนื่อยจาก

  • การคาดหวังให้ตัวเองทำดีเสมอ

  • ความกลัวทำผิดจนต้องเช็คงานซ้ำไปซ้ำมา

  • ความต้องการเป็นที่ยอมรับ

  • การรับบทเกินกว่าหน้าที่เพราะ “ไม่อยากให้ใครลำบาก”

  • การพยายามเข้มแข็งตลอดเวลา

  • มาตรฐานภายในที่สูงจนตัวเองก็เอื้อมไม่ถึง


ทั้งหมดนี้สร้าง ภาระทางใจ (Emotional Load) ซึ่งหนักกว่างานจริงหลายเท่า ความเหนื่อยนี้จึงไม่ใช่ความอ่อนแอแต่เป็น “สัญญาณ” ว่าถึงเวลาที่ต้องมองเข้าไปข้างในว่า…เราแบกอะไรอยู่โดยไม่รู้ตัวบ้าง?


ความเหนื่อยที่แท้จริง มักไม่ใช่เพราะงาน แต่เพราะ “ความคาดหวังภายใน”

ตามหลักจิตวิทยา ความเหนื่อยเกิดจาก 3 ชั้นสำคัญ:

  1. งานจริง (Real Workload)

    ปริมาณงานที่ต้องทำ อันนี้ทุกคนเห็น แต่ที่มักจะไม่เห็นคือข้อที่ 2


  2. งานที่เกิดจากความคิด (Mental Workload)

    คิดมากกว่าที่งานต้องการรับผิดชอบมากเกินบทบาทเก็บความรู้สึกทุกคนประเมินตัวเองตลอดเวลา ความเหนื่อยชั้นนี้ “มองไม่เห็น แต่กินพลังที่สุด”


  3. งานที่เกิดจากตัวตน (Identity Load)

    เราเหนื่อยเพราะอยากเป็น “คนเก่ง” เหนื่อยเพราะอยากเป็น “คนที่ทุกคนพึ่งได้” เหนื่อยเพราะไม่อยากทำให้ใครผิดหวัง นี่คือชั้นที่ลึกที่สุดและเป็นเหตุผลว่าทำไมงานที่ไม่หนัก กลับทำให้เราเหนื่อยได้มาก เพราะต้นตอไม่ใช่งานแต่เป็น ความคาดหวังที่เรามีต่อ “ตัวเราเอง”


3 วิธีเข้าใจความเหนื่อยในใจ และจัดการมันอย่างลึกแต่ใช้งานได้จริง

  1. แยกให้ออกว่า "งานไหนคือของจริง" และ "งานไหนเราสร้างขึ้นเองในหัว"

    ถามตัวเองว่า

    - งานนี้ต้อง “สมบูรณ์แบบ” จริงไหม หรือแค่ “เสร็จ” ก็พอ?

    - ฉันกำลังทำเพราะจำเป็น หรือทำเพราะกลัวโดนมองไม่ดี?

    - ถ้าคนอื่นทำแบบฉัน ฉันจะคิดว่าเขาดีไม่พอไหม?


    คุณจะเห็นทันทีว่างานในหัวใหญ่กว่างานจริงหลายเท่า


  2. ลดบทบาทที่ไม่ใช่ของเรา คืนความเหนื่อยให้เจ้าของมัน

    หลายคนเหนื่อยเพราะรับ “บท” ที่ไม่ใช่ของตัวเอง เช่น

    - ผู้ฟังประจำทีม

    - คนแก้ปัญหาแทนทุกคน

    - คนที่ต้องใจเย็นตลอดเวลา

    - คนที่ต้องโอเคเสมอ


    ลองถามตัวเองว่า “บทบาทนี้…ฉันได้รับมอบหมายจริง ๆ หรือแค่เคยชินที่จะทำไปเอง?” แค่คืนบทบาทบางอย่างให้ทีมพลังชีวิตจะกลับมามากกว่าที่คิด


  3. ตั้งความคาดหวังแบบมนุษย์ ไม่ใช่แบบฮีโร่

    คนที่เหนื่อยง่ายมักมีคติประจำใจว่า “ฉันต้องทำให้ดีเสมอ”

    ให้ลองเปลี่ยนมุมถาม

    - วันนี้ฉันทำได้ “ดีพอ” แล้วหรือยัง?

    - ถ้าไม่ต้อง perfect ฉันจะทำงานนี้อย่างไร?

    - ถ้าฉันเป็นหัวหน้า ฉันคาดหวังให้ลูกน้องทำถึงระดับไหน?


    คุณจะพบว่าความคาดหวังที่คุณตั้งให้ตัวเอง สูงกว่าที่คนอื่นตั้งให้คุณเสมอ


3 เคสจริงที่สะท้อนว่า ความเหนื่อยในงาน มาจากใจมากกว่างาน

Case ที่ 1 : งานไม่หนัก แต่เหนื่อยจนอยากลาออก

คุณเออายุ 32 บอกว่า “งานไม่ได้ยาก แต่เหนื่อยมากแบบไม่มีเหตุผล” เมื่อคุยลึกลงไป เธอบอกว่า “ฉันกลัวทำให้ใครผิดหวังเลยรับทุกงาน ทั้งที่ไม่ต้องรับ” ความเหนื่อยของเธอไม่ใช่งานแต่คือการพยายามเป็น “คนที่ทุกคนชอบ” พอเริ่มตั้งขอบเขตใหม่ ความเหนื่อยลดลงทันที


Case ที่ 2 : หัวหน้าที่เหนื่อย เพราะพยายามเข้มแข็งตลอดเวลา

คุณแทน อายุ 40 เป็นหัวหน้าที่ทีมรักมากแต่ลึก ๆ เขาบอกว่า “ผมรู้สึกว่าผมอ่อนแอไม่ได้เลยเก็บทุกอย่างไว้คนเดียว”

นี่คือ Identity Load ภาระที่มาจากบทบาทในใจไม่ใช่บทบาทที่ตำแหน่งต้องการ เมื่อเขาเริ่มแชร์ความรู้สึกกับทีมความเหนื่อยที่กดทับมาหลายปีก็เบาลงทันที


Case ที่ 3 : คนเก่งที่แบกมาตรฐานตัวเองจนหมดพลัง

คุณพลอย อายุ 28 เก่ง มีวินัย ทำงานเรียบร้อยแต่รู้สึกว่า “ต้องดีให้ได้ทุกครั้ง” ทุกงานเธอทำเกินโจทย์แม้โจทย์จะไม่ต้องการขนาดนั้น ความเหนื่อยของเธอมาจากความเชื่อว่า ถ้าไม่ดีมาก = ยังไม่ดีพอ หลังปรับมาตรฐานเป็น “ดีพอ” แทน “ทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้ เต็มที่” เธอค้นพบว่า พลังงานตัวเองกลับมาครึ่งหนึ่งโดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม


ถ้าเราฟังใจคนอื่นเก่ง แต่ไม่ค่อยฟังใจตัวเอง นี่คือทักษะที่ช่วยได้

หลายคนไม่ได้ต้องการพักแต่ต้องการทักษะที่ทำให้ “เข้าใจตัวเองให้ลึกกว่าเดิม” และทักษะที่ช่วยมากที่สุดคือ Counseling Skills เพราะมันทำให้เรา

  • ฟังใจตัวเองอย่างไม่ตัดสิน

  • มองเห็นความคาดหวังลึก ๆ ที่เราซ่อนอยู่

  • รู้ว่าความเหนื่อยมาจากไหนจริง ๆ

  • สื่อสารขอบเขตแบบที่ไม่ทำร้ายใคร และไม่ทำร้ายตัวเอง

  • ใจเบาขึ้น เพราะไม่ต้องพยายามเกินจำเป็น


หลายคนที่เรียนทักษะนี้บอกว่า…“มันเหมือนกดรีเซ็ตความเหนื่อยในชีวิตไปครึ่งหนึ่ง” เพราะเมื่อเรามองเห็นรากของความเหนื่อยเราจะพบว่า สิ่งที่ต้องเบาคือ “ใจ” ไม่ใช่ “งาน”


ทุกอย่างคุณจะได้ค้นพบใน หลักสูตรทักษะจิตวิทยาการให้คำปรึกษา iSTRONG ทักษะนี้จะ “เปลี่ยนวิธีที่คุณเองพูดกับตัวเองไปตลอดชีวิต” และเมื่อคุณเริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้น ความมั่นใจจะไม่ใช่สิ่งที่ต้องไล่ตาม แต่จะกลายเป็นสิ่งที่ “งอกขึ้นจากข้างใน” อย่างเป็นธรรมชาติ

 

คุณจะได้เรียนรู้ทักษะจิตวิทยามากมายในการปรับใช้กับตัวเองและผู้อื่น ทั้งการสำรวจอารมณ์ เทคนิคการฟังลึก การอ่านอารมณ์ การสื่อสารอย่างไม่ตัดสิน การตั้งคำถามเชิงลึก และการดูแลความสัมพันธ์รอบตัวอย่างมืออาชีพ นี่คือทักษะชีวิตที่ช่วยเปลี่ยนคุณเป็นคนที่เข้าใจตัวเองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


เราไม่ได้เหนื่อยเพราะงานเสมอไปแต่เหนื่อยเพราะสิ่งที่เราคาดหวังให้ตัวเองเป็น เมื่อเรามองเห็นว่าความเหนื่อยของเรามาจาก “หัวใจ ไม่ใช่หน้าที่” เราจะเริ่มจัดการมันได้อย่างอ่อนโยนและมีพลังขึ้น และนั่นคือจุดที่ชีวิต…เริ่มกลับมานุ่มนวลกับเราอีกครั้ง

iSTRONG Mental Health

ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร


บริการของเรา

สำหรับบุคคลทั่วไป

  • บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa  

  • คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS 

สำหรับองค์กร

โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong



iSTRONG ผู้ให้บริการด้านสุขภาพจิต Solutions ด้านสุขภาพจิต ให้คำปรึกษาโดยนักจิตวิทยา นักจิตบำบัด นักจิตวิทยาคลินิกที่มีใบรับรอง รวมถึงบทความจิตวิทยา

© 2016-2025 Actualiz Co.,Ltd. All rights reserved.

contact@istrong.co                     Call 02-0268949

  • Facebook Social Icon
  • YouTube Social  Icon
  • Instagram
  • Twitter
bottom of page